เสขิยธรรม -
จดหมายข่าวเสขิยธรรม
หน้าแรก | สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน | แผนผังไซต์

เสขิยธรรม ฉบับที่ ๕๘

ชีวิตแห่งการภาวนา

วดีลดา เพียงศิริ

ฉันเดินสวน ลมหนาว เมื่อเช้านี้

 

แทนที่จะได้อยู่สัมผัสลมหนาวที่เชียงใหม่ ฉันกลับได้มายืนยิ้มให้สายลมละมุน ที่หนาวเยือกเข้าไปถึงหัวใจ ที่ฮานอย ประเทศเวียดนาม

          วูบหนึ่ง วูบเดียวที่ได้สัมผัสถึงความฉ่ำ เย็น สด ชื่น หอมอ่อน ๆ และเต็มไปด้วยความคิดถึง สัมผัสทะนุถนอมนั้นไล้ใบหน้าของฉันอย่างแผ่วเบา... เบาเสียจนหากฉันเผลอคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ ฉันคงไม่มีวันได้เข้าใจ ความรู้สึกของเพื่อนเก่า ความหนาวเหน็บที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นอยู่ตรงหน้า

          น่าเสียดายที่หลายต่อหลายครั้ง เพื่อนเก่าประดามีเหล่านี้ พยายามเข้ามาทักทายเรา แต่เรา “กำลังรีบ” เสียทุกครั้งไป

          เช้านี้ ฉันรู้สึกว่า ทำไมชีวิตใจดีกับฉันจัง

 

          ปี ๒๕๔๖ ยืนอมยิ้ม เอ็นดูหมู่มนุษย์ตาดำ ๆ แบบคนที่ถือไพ่เหนือกว่า พร้อมกำปริศนาไว้ในมือ ว่าปีนี้จะมีใครตายจากเราไปบ้าง หรืออาจจะเป็นปีที่ “เรา” ต้องตายจากใคร ๆ ไปเสียเองก็ไม่อาจรู้ได้

          ก่อนไปเที่ยว เพื่อนฝูงนัดเจอกัน และตามธรรมเนียมของปีใหม่ ที่แต่ละคนต่างก็ปฏิญาณว่าจะเปลี่ยนแปลง, ปฏิวัติหรือล้มล้างความเส็งเคร็งอะไรในชีวิตบ้าง

          เพื่อนคนแรกเปิดฉากอย่างหนักแน่น “ฉันจะดูแลผิวหน้าให้มากขึ้น พอขึ้นเลขสี่แล้วมันเหี่ยวไปถึงคอเลยเธอเอ๊ย.....ย...” ว่าแล้วเธอก็ออกไปสืบราคา “ครีมหน้าเด้ง” มาบอกเพื่อน ๆ เอาบุญ

          เพื่อนคนที่สองดวงตาหม่นเศร้า โมโหโลกที่มีแต่คนใจร้าย เธอบอกว่า กำลังมีคน ถูกทำราวกับไม่ใช่คน ถูกส่งกลับไปกลับมาอยู่ตามตะเข็บชายแดนเป็นแสน ๆ คน

          “ปีที่แล้วฉันซื้อเสื้อใหม่ตั้งสองตัว คอยดูนะ ปีนี้ฉันจะไม่ซื้อเลย พวกเราซื้อของกันโครม ๆ ได้ยังไง ในเมื่อพวกเขาอยู่กันอย่างน่าเวทนาแบบนั้น”

          ฉันฟังแล้ว จ๋อยอย่างแรง แถมยังรู้สึกผิดมหาศาลที่ตั้งท่าจะไปเที่ยว”เมืองนอก”

          ก็เพื่อนคนนี้แหละที่ฉันเคยเตือนว่า “เวลาคนไม่ทำบุญเท่ากับเธอ หรือไม่ทำบุญชนิดเดียวกับเธอ เธออย่าไปโกรธเขาสิ”

          “คนอย่างเธอ มันไม่มีสำนึกทางสังคม เธอมันคนชั้นกลางเราดี ๆ นี่แหละ !”

          เคราะห์ดีที่เรารู้ว่าเราจะเป็นเพื่อนกันไปจนตาย เราเลยโกรธกันไปวันครึ่ง เพราะต่างฝ่ายต่างก็เบื่อหน้า !

          มาถึงตาฉันบ้าง ฉันสารภาพเสียงอ่อยกับเพื่อนว่าฉันจะ “ร้ายน้อยลง” ใช่แล้ว.... ฉันตั้งใจจะ “ร้ายให้น้อยลง” จริง ๆ

 

          มาถึงฮานอย ฉันได้เพื่อนคุยใหม่ เราซักประวัติกันไปมาแบบคนถูกชะตาทั่วไป เขาก็เล่าของเขา ฉันก็เล่าประวัติของฉัน รวมความได้ว่า

          ฉันเป็นผู้หญิงอายุสี่สิบปีบริบูรณ์ มีอาชีพครู เป็นครูที่ไม่มีหนี้สิน มีลูกสองคนที่ทางโรงเรียนไม่เคยต้องเรียกพบผู้ปกครอง พวกเขาร้ายบ้าง แต่ขี้สงสาร โดยเฉพาะมด ตกน้ำเมื่อใด พวกเขาจะเดือดร้อนกันเป็นพิเศษ

          ฉันมีเพื่อนซี้เป็นสามี แม้ว่า หลายปีทีเดียวที่ฉันทุรนทุรายอยู่ภายใต้กรอบของชีวิตคู่ ฉันหาว่าเขาทำตัวเป็นเด็ก ให้รับผิดชอบอะไรแล้วไม่ค่อยเวิร์ค บางขณะ ฉันถามตัวเอง ว่าทนอยู่กับเขามาได้ยังไงเป็นสิบ ๆ ปี

          แต่เช้าวันหนึ่ง ฉันตื่นขึ้นมาแล้วค้นพบว่า เขาไม่ได้แกล้งเป็นปีเตอร์แพน เพื่อหลีกหนีความเป็นผู้ใหญ่และความรับผิดชอบในชีวิตประจำวันที่แสนจะซ้ำซากน่าเบื่อ หรือเลือกทำเฉพาะสิ่งที่เขา “ชอบ”อย่างที่ฉันชอบประณามเขาหรอกนะ

          ที่แท้แล้วเคมีในสมองของเขาต่างหาก ที่ทำงานไม่เหมือนกับของฉันหรือของคนทั่วไป เขาสื่อสารด้วยการ “อ่าน” ได้รู้เรื่องกว่า “ฟัง” ดังนั้นหลายครั้งเขาจึงมักเสียเปรียบผู้คนในโลก และฉัน ซึ่งเกิดมาพร้อมกับความกลัวตัวเองจะ “เสียเหลี่ยม” จึงโมโหโกรธาและรับไม่ได้มาโดยตลอด เมื่อต้องอยู่กับคนที่เหมือนไม่เคยมีต่อมผลิต “เหลี่ยม” มาก่อนเลยในชีวิต

          เช้านั้นเองที่ฉันมองเขาด้วยสายตาใหม่ และเพิ่งรู้ว่า ทำไมประกายตาของเขาถึงได้ “จ้า” เหมือนดวงตาของเด็ก คุณลองมอง “ประกายตา” ของผู้คนสิ หลายคนประกายตา “หมอง” จนฉันใจหาย และหลายคนฉายแววคมกริบราวกับจะเฉือนเราเป็นชิ้น ๆ ในพริบตา

          นี่ขนาดฉันยังไม่ได้โม้กับเพื่อนใหม่ว่า ฉันมี “ครอบครัวแสนงาม (ใหญ่และรุงรัง)” ที่เนืองแน่นไปด้วยผองเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องที่แค่มองตากัน ก็รู้สึกแล้วว่า ด่ากันไปงั้น รักกันจะตายชัก ! อีกเป็นโขยง

          เพียงแค่นี้เพื่อนใหม่ยังออกปากว่า ชีวิตฉันดีจัง ฉันและสามีดูเป็นคนงดงามจัง ! (อี๋แหวะ !) ชมกับใครไม่ชมดันมาชมกับคนบ้ายอ เสียนี่...

          วันหนึ่งในฮานอย เราได้ไปปีนเขานอกเมืองไกลลิบ ๆ ฉันดีใจมาก เพราะถ้าอยู่ในเมืองเสียงแตรจะดังทุกวินาทีจนแทบทนไม่ได้ ดูเหมือนรถทุกคัน ทุกยี่ห้อจะมีกระสุนอย่างไม่จำกัดจำนวน กระสุนนั้นสาดออกมาเป็นร้อย ๆ ตับด้วยเสียงแตร เขาลั่นไกกันทุกเสี้ยววินาที หรือนี่คือสงครามอย่างใหม่.... สงครามของการรีบไปทำมาหากิน หรือสงครามแบบนี้มีทั้งเสียงดังหนวกหู ชัดเจน และมีอย่างเงียบกริบไม่ทันให้ใครได้ไหวตัว ซึ่งน่ากลัวกว่านี้ร้อยเท่า

          แถมจะว่าไป ถ้าอยู่ในเมืองกิจวัตรของฉันก็มีแค่เดินซื้อผ้าปัก ผ้าลูกไม้ที่ราคาถูกแสนถูกหากเทียบกับที่อื่น แต่ฉันก็ยังห้ำหั่นราคากับเขาแบบสู้ยิบตา และตกค่ำ เมื่อเอาผ้าแสนสวยมากองรอบตัว ฉันจึงได้รู้ว่า ที่แท้แล้วทั้งเนื้อทั้งตัวทั้งหัวใจของฉัน สยบยอมเป็นเมืองขึ้นฝรั่งตาน้ำข้าวมาโดยตลอด ฉันชอบความงามอย่าง “ฝรั่ง” จนถอนตัวไม่ขึ้นจริง ๆ ก็ดูกองผ้าที่พะเนินเทินทึกเหล่านี้ปะไร ล้วน “สวยอย่างฝรั่ง” ทั้งนั้น

          ก่อนปีนเขา ฉันซื้อไม้ไผ่ที่เขาตัดกันสด ๆ ตรงทางขึ้นเพื่อทำไม้เท้า ขาฉันเจ็บมาสองสามปีแล้ว หญิงชราคนขายยิ้มตาหยี ทั้งที่คงเกลียดคนไทยเข้ากระดูกดำที่เคยให้ไอ้กันมาตั้งฐานทัพฯ ป้าแกบอกราคาเป็นภาษาเวียดนาม มีคำหนึ่งที่เหมือนคำว่า “หมื่น” อารามจะรีบขึ้นตามคนอื่น คือช้ากว่าคนอื่นไม่ได้ ไม่รู้เป็นไง ฉันจึงสั่งการให้สามีจ่ายสตางค์เขาไปหมื่นด่อง (๓๐ บาท) สามีรีบควักเงินให้ ป้าคนขายแกทำท่าดีใจจนออกนอกหน้า ทั้งโค้งทั้งไหว้ แถมพยายามจะพูดอะไรที่ฉันไม่เข้าใจ ก็ฉันมัวแต่มุ่งจะเดินตามพรรคพวกให้ทัน ฉันไม่ชอบความเป็นที่โหล่นี่นา

          แต่ขนาดรีบ ฉันก็ยังทำหน้าแบบ “คนใจดี” ที่ช่วยกระจายรายได้ให้คนท้องถิ่น เข้าทำนองหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์แบบนั้น

          ครั้นพอลากสังขารขึ้นเขาไปได้ช่วงหนึ่ง คนข้าง ๆ เกิดบอกว่า เขาซื้อไม้ไผ่มา แค่ ๓ บาท ไม่ใช่ ๓๐ บาท อย่างฉันเท่านั้นแหละ วิวสองข้างทางชักไม่สวยขึ้นมาทันที

          ฉันโกรธสามีจี๊ดขึ้นมาในบัดดล โทษที่เขาไม่ถามราคาซ้ำ แว่บหนึ่งเขามองหน้าฉันเหมือนจะถามตัวเองว่า ‘นี่เขาทนอยู่กับยายแก่ขี้บ่นขี้งกคนนี้มาได้อย่างไรตั้งสิบกว่าปีหนอนี่ !’

          ยัวะสามียังไม่เท่ายัวะยายป้าคนขาย ที่ฉันเดาเอาว่าแกคงอยากแก้แค้นรัฐบาลไทย เลยมาทวงคืนเอากับฉัน ฉันพาลโกรธไปถึงดวงตาขัน ๆ กึ่งเอ็นดูของเพื่อนร่วมทาง ที่หาว่าฉันเสียรู้ป้าแก่ ๆ ได้ยังไงเนี่ย

          ฉันโกรธคนหมดโลกเลยให้ตายเถอะ.

          ฉันใช้เวลาเป็นชั่วโมง ในการปีนภูเขาหิน ‘โคตรจะชัน’ ระยะทาง ๕ กิโล ด้วยความโกรธแค้น อยากจะลงมาข้างล่างไว ๆ จะได้รีบมาทวง ๒๗ บาทคืนให้หายแค้น หนอยแน่ะ !! เล่นกับใครไม่เล่น

          ฉันเสียดายเงินหรือ.... ไม่ใช่...ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า ฉันเสียเหลี่ยม !!

 

          กระทั่งถึงทางลาดลง สามีช่วยเข้ามาประคองกลัวลื่นไถล ใจเขาสะอาดมาก นอกจากจะชี้ชวนให้ดูทิวทัศน์สองข้างทาง ยังออกปากชมฉันว่า “เก่งจัง ขนาดขาเจ็บยังขึ้นมาถึงยอดกับเขาได้” พลางปรายตามองไม้เท้าแนบกายฉัน

          ด้วยบุญเก่าหรือไรไม่ทราบ ฉันหัวเราะออกมาก๊ากใหญ่ หัวเราะใส่หน้าตัวเองเสียเต็มรัก หัวเราะให้ความโง่เขลาและทำใจไม่ได้สักเรื่องของตัวเอง !

          คนอะไรวะ ยิ่งแก่ยิ่งร้าย ! คนอะไรวะ ดีแต่โทษคนอื่น ทั้งกะปี !

 

          เอาเถอะ กลับถึงเมืองไทย ฉันจะบอกเพื่อนเสียใหม่ว่า ปีนี้ฉันจะไม่ตั้งใจ “ร้ายน้อยลง” แล้วล่ะ เพราะเห็นแววว่ามันอยู่ลึกและซับซ้อนเกินกว่าที่ฉันจะทำได้ เอาเป็นว่า ฉันตั้งใจจะเลิก “เคี่ยวเข็ญให้ตัวเองเป็นคนดี” ดีกว่า

          ฟังดูแล้วมันน่าเป็นไปได้มากกว่ากันเยอะเลย.. .

หน้าแรก | กลุ่มเสขิยธรรม | ความเคลื่อนไหว | ประเด็นร้อน | ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
นักบวชกับสังคมร่วมสมัย |> จดหมายข่าวเสขิยธรรม | รวมเว็บน่าสนใจ | แผนผังไซต์
เสขิยธรรม skyd.org
สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน

กลุ่มเสขิยธรรม ภายใต้มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ ๑๔/๖๓ หมู่บ้านสวยริมธาร ๒ ซอย ๕
ถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก แขวง/เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ ๑๐๑๗๐
โทร. ๐๒-๘๐๐-๖๕๒๖ ถึง ๘, ๐๖-๗๕๗-๕๑๕๖ โทรสาร ๐๒-๘๐๐-๖๕๔๙
... e-mail :