เสขิยธรรม -
จดหมายข่าวเสขิยธรรม
หน้าแรก | สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน | แผนผังไซต์

เสขิยธรรม ฉบับที่ ๕๘

นานาทรรศนะ

อดุลย์ มานะจิตต์

ทางแห่งความรอดพ้นของบรรดาศาสนิกชน

 

นับเป็นความโชคดีอย่างมากที่บรรพบุรุษของเราชาวไทย ผู้ซึ่งประกอบด้วยผู้คนที่นับถือศาสนาใหญ่ ๆ ของโลกรวมสามศาสนานั้น คือ พุทธ คริสต์ อิสลาม ได้ร่วมมือช่วยเหลือกันฟูมฟักถักทอความสมานฉันท์ ความรักใคร่กลมเกลียวกัน ความเคารพเชื่อถือต่อกัน และต่างยึดมั่นปฎิบัติตามหลักคำสอนของศาสนาของตนไว้อย่างเหนียวแน่นมั่นคง ด้วยขันติธรรมและความมีเมตตาจิตต่อกัน อันเป็นผลให้สังคมของชาวไทยเกิดความสงบสันติผ่านกาลเวลาอันยาวนาน นับได้หลายศตวรรษ

          ความจริงเช่นนี้จึงอาจกล่าวได้ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งเดียวในโลก ที่ปลอดจากปัญหาความขัดแย้งทางเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ สีผิว ภาษาและศาสนา ในขณะที่มีประเทศอีกจำนวนมากหลายของโลก ทั้งที่เป็นประเทศ ประชาธิปไตย สังคมนิยม และเผด็จการ ต่างมีปัญหาความขัดแย้งไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง หรือหลาย ๆ อย่าง ดังที่กล่าวถึงข้างต้น เหตุที่เป็นเช่นนี้ มีผู้ให้เหตุผลไว้ว่า เป็นเพราะประเทศไทย ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของพวกจักรวรรดินิยมตะวันตก จึงรอดพ้นจากการถูกแบ่งแยกแล้วปกครอง ดังที่ประเทศเพื่อนบ้านของเราหลาย ๆ ประเทศต้องประสบกับชะตากรรม เช่นนี้มาแล้ว จะจริงเท็จอย่างไรก็ลองใช้วิจารณญาณ ใคร่ครวญกันดู

          จะอย่างไรก็ตาม พวกเราชาวไทยต่างก็รู้สึกภาคภูมิใจที่บรรพบุรุษของเรา มีความเฉลียวฉลาดในการดำเนินนโยบายทางการเมืองระหว่างประเทศ พาประเทศชาติให้รอดพ้นจากวิกฤติการณ์ของโลกดังกล่าวมาได้ และธำรงความเป็นเอกราชไว้ได้จวบจนทุกวันนี้ ดังนั้นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่สุด ยิ่งกว่ามรดกโลกของชาวไทยก็คือ ความรักใคร่กลมเกลียวสมานฉันท์ของคนในชาติ โดยศาสนิกชนของผู้คนทั้งสามศาสนา ต่างมีความภาคภูมิใจในศาสนาของตนและในขณะเดียวกัน ต่างก็ยกย่องให้เกียรติแก่ศาสนิกชนของอีกศาสนาหนึ่ง โดยเฉพาะนักบวช ผู้ทรงความรู้ นักวิชาการ และครูอาจารย์ ทั้งทางสายศาสนาและสามัญ ผู้ซึ่งบุคลากรผู้สูงส่งของทั้งสามศาสนานี้ ต่างก็เป็นอาจารย์และครูผู้สอนให้กับผู้คน ซึ่งเป็นทั้งประชาชนและนักเรียนนักศึกษาของทั้งสามศาสนา

          การอยู่ร่วมกันอย่างสงบร่มเย็นบนผืนแผ่นดินไทย ของผู้คนทั้งสามศาสนา มิได้บังเกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตั้งใจ ทั้งนี้หมายความว่ากลุ่มผู้นำของศาสนิกชน ทั้งสามศาสนาต่างยึดมั่นในความเชื่อและปฏิบัติมั่นอยู่นั้น หลักการที่ว่าประเทศไทยจะดำรงอยู่ได้ ก็ด้วยหลักธรรมะของทั้งสามศาสนา และยิ่งไปกว่านั้นยังเชื่ออีกว่า โลกจะดำรงอยู่ได้ด้วยธรรม

          ความพากเพียรพยายามของบรรดาบุคคลระดับผู้นำของทั้งสามศาสนาที่ได้อุทิศตนเอง โดยไม่ย่นย่อท้อถอย ต่อความยากลำบาก เพื่อความสมานฉันท์ของผู้คนทั้งสามศาสนา ซึ่งเป็นผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศเอาไว้ โดยการร่วมมือกันทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา และวัฒนธรรม ในด้านสังคมนั้น คนไทยทุกคนไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม ล้วนมีสิทธิเสรีภาพ ในการนับถือศาสนา นิกายหรือลัทธิของศาสนา และปฏิบัติตามความเชื่อในศาสนาของตนได้อย่างเสรี โดยผู้ใดจะเข้าไปละเมิดแทรกแซงขัดขวางไม่ได้ ดังนั้นภาพที่ปรากฏให้เห็นโดยทั่วไปในทุกหนแห่งของประเทศ เช่น เครื่องแบบการแต่งกายของนักบวช นักการศาสนา และการแต่งกายของผู้ศรัทธาตามศาสนบัญญัติของศาสนานั้น ๆ ได้อย่างเสรี และเป็นที่ยอมรับในทางกฎหมาย นี่คือตัวอย่างหนึ่งของเอกลักษณ์ประจำชาติไทย ในทางสังคม ซึ่งยากนักจะหาประเทศอื่น ๆ ของโลกมาเสมอเหมือน แม้ประเทศในทวีปยุโรปส่วนใหญ่และในสหรัฐอเมริกา ที่ประกาศตนเองว่าเป็นโลกเสรีประชาธิปไตย และใช้งบประมาณของประเทศอย่างมากมาย เพื่อการโฆษณาชวนเชื่อในเรื่องของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ก็ไม่อาจปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปธรรมดังกล่าวได้เช่นในประเทศไทย ซึ่งไม่จำเป็นต้องโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยในแต่ประการใด ซึ่งมันเป็นของมันเองโดยจิตวิญญาณที่ปราศจากการเสแสร้งใด ๆ

          ในด้านเศรษฐกิจถึงแม้ประเทศไทยจะมีพลเมืองส่วนใหญ่ นับถือศาสนาพุทธก็ตาม แต่รัฐก็ได้ออกกฎหมาย ให้มีการจัดตั้งธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยขึ้นอันเป็นธนาคารในระบบอิสลามที่ปลอดดอกเบี้ย ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่เพื่อเป็นทางเลือกของธนาคารที่ใช้ระบบทุนนิยมที่ให้กู้ยืมเงินด้วยระบบดอกเบี้ย ซึ่งหากมองดูถึงเรื่องนี้อย่างลึก ๆ แล้ว ธนาคารอิสลามในระบบปลอดดอกเบี้ยนั้น สอดคล้องกับคำสอนของศาสนาพุทธในเรื่องของการไม่ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบ และการช่วยเหลือเกื้อกูลต่อเพื่อนมนุษย์ ซึ่งเป็นการปิดเส้นทางของพวกนายทุนเงินกู้ ที่สร้างความร่ำรวยให้กับตนเองบนความทุกข์ยากของเพื่อนร่วมโลก

           ในด้านการเมืองนั้น ถึงแม้สงครามเย็น ระหว่างฝ่ายโลกเสรีกับฝ่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ จะจบสิ้นลงแล้ว ซึ่งประเทศไทยก็ตกอยู่ในวงล้อมของความขัดแย้งนี้เช่นกัน นานนับครึ่งศตวรรษ เป็นผลให้ประเทศเพื่อนบ้านสองสามประเทศของไทย ต้องกลายเป็นประเทศสังคมนิยม ทำให้พลเมืองที่มีความรักในศาสนาของประเทศนั้น ๆ ต้องอพยพลี้ภัย สู่แผ่นดินอื่นนับเป็นจำนวนหลายล้านคน แต่กระนั้นประเทศไทย ก็ยังคงสามารถรักษาดุลย์แห่งความขัดแย้งทางการเมืองนี้ไว้ได้ ถึงแม้จะต้องเกิดการนองเลือดขึ้นภายในประเทศบ้างก็ตาม ในที่สุดปัญหาอันร้ายแรงของชนในชาติ ที่มีความคิดต่างอุดมการณ์กัน สามารถลงเอยกันได้ด้วย วิธีการอโหสิกรรม และกลับเข้ามาร่วมพัฒนาชาติบ้านเมือง โดยมีผู้คนของทั้งสามศาสนาร่วมมือกันอยู่ในทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งหนึ่ง และถือเป็นครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ว่า ความสมานฉันท์ ของคนในชาติที่นับถือศาสนาต่าง ๆ กันได้ตกผลึกจนแข็งแกร่ง ซึ่งไม่อาจจะมีแนวความคิดหรือลัทธิทางการเมืองอันแปลกปลอมใด ๆ จะมาแบ่งแยกให้ชนในชาติ แตกสลายลงได้ ทั้งนี้เป็นเพราะความเชื่อของคนในชาติได้ประสานเป็นหนึ่งเดียวกันที่ว่า รากของความสุขก็คือเสรีภาพ ฉะนั้น ศาสนิกชนทุกคนจึงต้องร่วมมือกัน ปกปักษ์รักษาต้นไม้แห่งความสุขของชาติบ้านเมืองนี้ให้เจริญเติบโตแข็งแรงสืบไป โดยมีรากแห่งเสรีภาพหยั่งลึกลงไปในดิน

          ส่วนในประการสุดท้าย ณ ที่นี้ก็คือ การศึกษาและวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเรียนการสอนศาสนาของทั้งสามศาสนา และวัฒนธรรมของทั้งสามศาสนาได้หลอมรวมกันกลายเป็นวัฒนธรรมของชาติอย่างผสมกลมกลืน นั้นคือการอบรมสั่งสอนผู้คนในชาติให้มี หิริโอตตัปปะ หรือความเกรงกลัวที่จะกระทำบาป เช่นการละเมิดศีลห้าอันเป็นอบายมุขหรือทางแห่งความเสื่อมทราม ความมีอุเบกขาที่ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ ต่อเพื่อนต่างศาสนิก ปลอดพ้นจากภยาคติ มิจฉาทิฏฐิ โดยยึดมั่นถือมั่นว่า ความคิดเห็นของฉันเท่านั้นที่ถูกต้องโดยไม่ยอมฟังเสียงของผู้อื่นโดยถือว่าเป็นของผู้คนส่วนน้อย ทั้ง ๆ ที่คำสอนของทั้งสามศาสนานั้นให้เคารพในสิทธิของคนส่วนน้อย ถึงแม้คนส่วนมากจะมีอำนาจปกครองก็ตาม นี้คือหลักประชาธิปไตยที่แท้จริงของทั้งสามศาสนา ซึ่งต่างจากระบบประชาธิปไตยของตะวันตก

          ขณะนี้ลัทธิบริโภคนิยมเสรีที่มีลัทธินายทุนผูกขาดข้ามชาติเป็นเจ้าของ กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักไปทั่วโลก เพื่อมุ่งหวังที่จะทำลาย ความเป็นสมถะการถือสันโดษไม่เบียดเบียนต่อกัน การยึดถือมัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง อันเป็นวัฒนธรรมอันดีงามของศาสนิกชนทั้งหลาย ทั้งนี้เพราะหลักธรรมคำสอนของศาสนาดังกล่าวข้างต้น ล้วนเป็นปฏิปักษ์ต่อลัทธิบริโภคนิยมเสรีของตะวันตกอย่างร้ายแรง ดังนั้นตราบใดที่ชาวพุทธยังคงยึดมั่นอยู่ในการถือศีลกินเพล ชาวมุสลิมยังคงยึดมั่นในการถือศีลอดตลอดเดือนรอมฎอนในทุก ๆ ปี ซึ่งเป็นการตัดหนทางของการบริโภคและการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยลงโดยสิ้นเชิง นั้นก็คือจุดจบของลัทธิบริโภคนิยมของชาวตะวันตกที่พยายามเผยแพร่ให้ชาวเอเชียยึดมั่นไว้เปรียบดังศาสนาใหม่ ที่มีร้านค้าปลีก ดีพาร์ทเม้นสโตร์ ร้านอาหารจานด่วนและสถานบันเทิงเริงรมย์ ให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ มุ่งหน้าสู่ประดุจดังโบสถ์วิหาร วัดวาอาราม และมัสยิดสถาน ของศาสนาต่าง ๆ ที่พวกเขาสามารถแสวงหาความสุขกายได้อย่างครบครัน และกลับออกมาจากสถานที่เหล่านั้นด้วยจิตวิญญาณที่ผอมโซ ซึ่งโครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรคของรัฐบาลไม่อาจเยียวยารักษาได้ นอกจากการให้อาหารที่เป็นความรัก และความรู้ในศีลธรรมจรรยาของศาสนากับจิตวิญญาณเท่านั้น

          นอกจากตะวันตกจะนำลัทธิบริโภคนิยมเสรี มามอบให้กับชาวเอเชียอันเป็นแดนเกิดของศาสนาที่สำคัญต่าง ๆ ของโลกแล้ว พวกเขายังนำลัทธิก่อการร้ายมามอบให้อีกด้วย โดยกล่าวหาผู้คนที่ยึดมั่นอยู่ในศาสนา ว่าเป็นพวกคนชั่วร้าย ภายหลังจากที่พวกเขาล้มเหลวกับการใช้ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ปฏิเสธศาสนา และสถาปนามันขึ้นในแผ่นดินอันเป็นใจกลางของผู้คนทั้งสามศาสนา จากการที่พวกเขาพยายามทุบทำลายศาสนาโดยตรงด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่ไม่สำเร็จผลกลับปรากฏว่า ทั้งศาสนิกชน และโบสถ์วิหาร วัดวาอาราม และมัสยิด กลับเพิ่มทวีจำนวนมากขึ้นไปทั่วโลกอย่างมากมายมหาศาล แม้ในแผ่นดินที่ใช้ระบบคอมมิวนิสต์เองเช่นประเทศจีนเป็นต้น

          มาบัดนี้ มารศาสนาตัวจริงกำลังหยิบยื่นความอิสระเสรีไร้ขอบเขต (Excess Freedom) ให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ของโลก โดยพวกเขากำหนดปรัชญาขึ้นว่า จงให้สิทธิเสรีภาพในการเลือกเฟ้นกับมนุษย์ แต่จงอย่าให้สิทธิที่จะไม่เลือกกับพวกเขาโดยเด็ดขาด ยกตัวอย่างเช่น ผู้บริโภคมีสิทธิเลือกซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งจากหลายสิบยี่ห้อ แต่พวกเขาไม่มีสิทธิที่จะไม่เลือกซึ้อบรรดาสินค้าต่าง ๆ ที่ผลิตขึ้นมาโดยผ่านระบบทุนนิยม และอีกปรัชญาหนึ่งที่ว่า จงผลิตสินค้าในปริมาณมาก ๆ และจงใช้การโฆษณาประชาสัมพันธ์สร้างความต้องการซื้อขึ้นในภายหลัง ซึงถือเป็นการหักดิบกฎแห่งอุปสงค์ อุปทานของระบบทุนนิยมเดิมลงโดยสิ้นเชิง

          เพื่อไม่ให้บทความนี้ดำเนินไปอย่างยืดยาวจึงขอจบลง ด้วยกับการเรียกร้องเชื้อเชิญบรรดาศาสนิกชนของทั้งสามศาสนา โดยเฉพาะในประเทศไทยของเราให้ยึดมั่นถือมั่น และปฏิบัติมั่นอยู่กับหลักคำสอนของศาสนาที่ตนนับถืออย่างเคร่งครัด ดังรายละเอียดบางประการที่ได้กล่าวถึงไปบ้างแล้ว เพราะวิธีการเช่นนี้จะเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะหยุดยั้งลัทธิแนวคิดต่าง ๆ ที่บรรดามารศาสนาหรือพวกไม่ถือศาสนาจากตะวันตก กำลังพยายามรณรงค์เปลี่ยนแปลงโลกมนุษย์ ให้หมดสิ้นไปจากอิทธิพลของศาสนาต่าง ๆ ด้วยวลีอันสวยหรูว่า โลกาภิวัตน์ การจัดระเบียบโลกใหม่ โลกไอที และอื่น ๆ

          ดังนั้นฝ่ายศาสนานิยมจึงจำเป็นต้องใช้แนวรบด้านสื่อสารสนเทศน์รณรงค์ให้ศาสนิกชนของตน รอบรู้เท่าทันในเล่ห์กลของบรรดามารศาสนาที่มาในคราบนักบุญใจบาป พวกหวังดีประสงค์ร้าย พวกปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ ซึ่งไม่อาจจะพูดในรายละเอียดได้ แต่เชื่อว่าเป็นที่เข้าใจกันดีในมวลหมู่ผู้ศรัทธาในบรรดาคำสอนของบรรดาศาสดาผู้สูงส่ง อันเป็นอมตะวาจาที่ไม่ขึ้นต่อกาลเวลา และสถานที่ ซึ่งเทศนาเพื่อมวลมนุษยชาติให้พัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์.. .

 
หน้าแรก | กลุ่มเสขิยธรรม | ความเคลื่อนไหว | ประเด็นร้อน | ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
นักบวชกับสังคมร่วมสมัย |> จดหมายข่าวเสขิยธรรม | รวมเว็บน่าสนใจ | แผนผังไซต์
เสขิยธรรม skyd.org
สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน

กลุ่มเสขิยธรรม ภายใต้มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ ๑๔/๖๓ หมู่บ้านสวยริมธาร ๒ ซอย ๕
ถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก แขวง/เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ ๑๐๑๗๐
โทร. ๐๒-๘๐๐-๖๕๒๖ ถึง ๘, ๐๖-๗๕๗-๕๑๕๖ โทรสาร ๐๒-๘๐๐-๖๕๔๙
... e-mail :