เสขิยธรรม
จดหมายข่าวเสขิยธรรม
-
หน้าแรก | สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน | แผนผังไซต์

เสขิยธรรม ฉบับที่ ๕๗

จับกระแส
ที่มา : http://www.thaibhikkhunis.org/g63.html

สัมภาษณ์ ภิกษุณีธัมมนันทา ออกรายการ Talk Asia

 

ภิกษุณีธัมมนันทาให้สัมภาษณ์สดออกรายการ Talk Asia ของ สำนักข่าวโทรทัศน์ CNN เมื่อเดือนเมษายน โดยคุณ Lorraine Hahn การสัมภาษณ์ดำเนินไปโดยที่ภิกษุณีนั่งอยู่ที่วัตรทรงธรรมกัลยาณี และคุณ Lorraine นั่งสัมภาษณ์อยู่ที่ฮ่องกง ภิกษุณีได้ยินแต่คำถามดังมาตามสายโทรศัพท์ แต่ไม่เห็นหน้าผู้สัมภาษณ์เลย...

          คุณ Lorraine เปิดรายการโดยกล่าวแนะนำภิกษุณีกับผู้ชมทางบ้านว่า... ภิกษุณีเป็นผู้หญิงไทยที่เปี่ยมไปด้วยศรัทธา ผู้ซึ่งพยายามจะทลายกำแพงเก่าแก่ที่มีมายาวนานกว่า ๗๐๐ ปี ที่ขวางกั้นไม่ให้ผู้หญิงบวชเป็นพระภิกษุณีสงฆ์ในเมืองไทย ภิกษุณีเดิมเป็นนักวิชาการด้านพุทธศาสนาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีงานเขียนทางวิชาการที่ได้รับการตีพิมพ์กว่า ๔๐ เล่ม ปัจจุบันมีสถานภาพเป็นสามเณรี โดยผ่านการทำพิธีบวชที่ประเทศศรีลังกา ซึ่งเป็นทางอ้อมเพื่อที่จะได้บวช และบวชโดยพระจากนิกายสยามวงศ์ซึ่งมีความสัมพันธ์มาช้านานกับศาสนาพุทธในประเทศไทย และ ๒ ปีหลังจากการบวชเป็นสามเณรี ภิกษุณีก็จะบวชเป็นภิกษุณีแล้ว ซึ่งจะได้รับการยอมรับจากประเทศศรีลังกา และประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศ แต่เหตุใดประเทศไทยยังไม่ยอมรับการบวชในครั้งนี้ ??

.... .... ....

Lorraine : ภิกษุณีตระหนักหรือไม่ว่า กำลังจะต้องรับผิดชอบกับการประดิษฐานภิกษุณีในประเทศไทย ทั้งกระบวนทีเดียว

ภิกษุณี : อาตมารู้แต่ว่าเมื่อตัดสินใจบวชนั้น อาตมาเพียงแต่ตอบรับต่อเสียงของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงวางพระทัยว่าทั้งหญิงและชายจะร่วมกันรักษาพระศาสนาสืบไป อาตมาไม่ได้เตรียมการเพื่อจะมาต่อสู้หรือเรียกร้องสิทธิใด ๆ อาตมาสนใจแต่ว่าจะมารับผิดชอบในการรักษาพระศาสนาเท่านั้น

มีคำถามที่ส่งมาจากผู้ชมทางอีเมลด้วยค่ะ คำถามแรกมาจากประเทศเกาหลี ถามว่า “อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดในการเป็นพระ ?”

          สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับข้อบกพร่องของเราเอง รวมทั้งคำวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหลายที่จะได้รับ นั่นจะเป็นการฝึกปฏิบัติของเราทั้งสิ้น ปัญหานั้นไม่ได้มาจากภายนอกหรอก แต่มาจากภายใน เราจะจัดการกับปัญหาอย่างไรโดยที่ยังคงยึดมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์ ชาวพุทธในเมืองไทยยังไม่เข้าใจ

          คำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างถ่องแท้ หากชาวพุทธทั้งหลายมีความเข้าใจในคำสอนของพระองค์ท่านแล้ว ทุกคนกลับจะมีแต่ความปลื้มปีติและสนับสนุนการบวชในครั้งนี้ การที่คนส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจในพระธรรมคำสั่งสอนนี้ เป็นปัญหาที่ใหญ่และเร่งด่วนยิ่งกว่าเรื่องผู้หญิงจะบวชได้หรือไม่ได้เสียอีก

          สิ่งสำคัญที่ต้องทำคือการให้การศึกษาในด้านพุทธศาสนาแก่คนทั่วไปให้มากขึ้น และนั่นเป็นสิ่งที่อาตมากำลังทำอยู่ ใครก็ตามที่เข้าใจและปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนแล้วก็จะต้องดีใจที่มีน้องสาว (คือภิกษุณี) มาช่วยกันรับผิดชอบภารกิจของพระศาสนา และการบวชภิกษุณีนี้ก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงประทานอนุญาตไว้ “ไม่ใช่อะไรที่อาตมาคิดขึ้นมาเอง”

ขอทราบเกี่ยวกับพื้นเพครอบครัวของภิกษุณีค่ะ

          คุณพ่อเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากภาคใต้ถึง ๓ สมัย คุณแม่เป็นอาจารย์ และเป็นผู้หญิงคนแรกที่เล่นยิวยิตสึ (Ju Jit Su)* (* ยิวยิตสึ (Ju Jit Su) คือ ยูโด) และเป็นผู้หญิงคนแรกที่ปั่นจักรยานจากกรุงเทพฯ ไปสิงคโปร์เมื่อตอนที่อายุได้ ๒๕ ปี อาตมา (พูดยิ้ม ๆ) คงจะได้ DNA ที่ดีมาจากพ่อแม่ แต่การที่ใคร ๆ ชอบพูดว่าอาตมามีความกล้าจังที่จะทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ อาตมาคิดว่าตัวเองไม่ได้กล้าหาญเลย เพียงแต่ทำสิ่งที่ควรทำเท่านั้นเอง การเป็นนักวิชาการด้านศาสนาที่ได้เรียนรู้พุทธศาสนามา มากพอที่จะเข้าใจความหมายของสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงมีพระประสงค์ให้ชาวพุทธปฏิบัติและเรียนรู้ อาตมาได้ศึกษาและน้อมรับพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ไว้ไม่ใช่แค่ที่สมองแต่ที่หัวใจ ไม่ว่าใครก็จะทำอย่างที่อาตมาทำถ้าเขาได้น้อมรับพระพุทธองค์ไว้ด้วยหัวใจ

แล้วปฏิกิริยาของลูก ๆ ล่ะคะ.. จะมีลูกชายคนใดดำเนินรอยตามท่านไหมคะ

          พวกเขามาเยี่ยมและมาช่วยงานที่วัตรฯ สม่ำเสมอ ขณะนี้ยังไม่มีลูกชายคนใดที่คิดจะบวช ลูกชายคนหนึ่งเคยถามอาตมาว่า “แม่ตัดสินใจบวชเอง หรือบวชเพราะสถานการณ์พาไป” เมื่ออาตมาตอบลูกว่าเป็นการตัดสินใจของอาตมาเอง เขาก็บอกว่าถ้าแม่มีความสุขในวิถีทางนี้ เขาก็มีความสุขกับอาตมาด้วย

การบวชสามเณรีครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อต้นปี (พ.ศ. ๒๕๔๕) เป็นอย่างไรบ้างคะ

          การบวชครั้งนั้นจัดให้โดยวัตรฯ ของเรานี่เอง อาตมาคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่มีผู้หญิงจำนวนมากขึ้นที่รู้ความต้องการของตัวเองว่าต้องการอะไรจากชีวิตนี้ มีผู้หญิงที่ปฏิบัติธรรมมามากพอที่จะเกิดความปรารถนาที่จะบวช อาจมีคนพูดว่าไม่เห็นต้องบวชก็ถึงนิพพานได้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องของคนพูด ยังมีผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่ต้องการจะใช้ชีวิตที่สมถะกว่านั้น เราไม่ควรไปขัดขวางพวกเขา คนแต่ละคนควรจะได้เรียนรู้และมีโอกาสที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเองไปให้ถึงที่สุด

มีคำถามจากอีเมลเข้ามาจากประเทศฮ่องกงค่ะ ถามว่า “การบวชเป็นภิกษุณี จะช่วยให้ผู้หญิงเข้มแข็งมากขึ้น พอที่จะรับมือกับความยากลำบากในชีวิตที่อาจต้องพานพบหรือไม่ ?”

          (ยิ้ม) อาตมาคิดว่าเราต้องมีความเข้มแข็งอยู่ก่อนแล้วที่จะมาบวช และเมื่อบวชแล้วจิตวิญญาณของเราจะเข้มแข็งขึ้น

หลังจากบวชแล้วท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง รู้สึกสงบและพอใจกับตนเองหรือไม่

          ชัดเจน อาตมารู้สึกว่ามีความชัดเจนขึ้น (ด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ) จากที่เคยเห็นภาพอันยิ่งใหญ่มีสีสันหลากหลายแต่ไม่ชัดเจนในทางโลก มาตอนนี้โลกดูเล็กลงมองเห็นอะไร ๆ ได้ชัดขึ้น รู้ว่าชีวิตต้องการอะไรและจะดำเนินชีวิตไปตามนั้น

กรุณาเล่าชีวิตประจำวันให้ฟังว่าหน่อยค่ะ ว่าจะต้องทำอะไรบ้างในวันหนึ่ง ๆ

          อาตมาตื่นนอนตีห้า ทำวัตรเช้าและนั่งสมาธิตอนตีห้าครึ่ง ต่อจากนั้นจะเดินดูสวนว่าต้องทำอะไรบ้าง จะได้บอกคนสวนได้ แล้วก็จะฉันอาหารเช้าเวลา ๗ โมงเช้า สำหรับวันอาทิตย์จะออกบิณฑบาตเวลา ๖ โมงเช้าบริเวณหมู่บ้านใกล้ ๆ วัตรฯ โดยมีลูก ๆ (ลูก--ศิษย์) จากกรุงเทพฯ มาเดินตาม หลังจากฉันอาหารเช้าแล้วก็จะเป็นเวลาทำงานเขียนและอ่านหนังสือ ฉันอาหารกลางวันเวลา ๑๑.๓๐ น. จากนั้นก็จะรับแขกที่เวียนมาหาตั้งแต่บ่ายสองจนห้าโมงเย็น อาตมากับเด็ก ๆ และแม่ชีที่พักที่วัตรฯ ก็จะไปทำงานในสวนและรดน้ำต้นไม้ พอ ๑ ทุ่มก็ได้เวลาทำวัตรเย็นและนั่งสมาธิอีกครั้ง แล้วก็จะเป็นเวลาศึกษาอ่านหนังสือต่าง ๆ ต่ออีก

มีอะไรในชีวิตก่อนบวชที่คิดถึงมากที่สุด...

          อย่าหัวเราะนะ อาตมาคิดถึงน้ำชายามบ่าย (คุณLorraine หัวเราะเสียงดัง) มันไม่ใช่แค่น้ำชา เพราะจะฉันน้ำชาเมื่อไหร่ก็ได้มีคนถวายให้เสมอ แต่เป็นน้ำชายามบ่ายกับบลูเบอรี่ชีสเค้กที่อาตมาคิดถึง การจะฉันบลูเบอรี่ชีสเค้กตอนกลางวันก็รู้สึกว่าผิดเวลา ไม่ได้บรรยากาศ (..นี่เป็นเหตุให้เมื่อภิกษุณีเดินทางไปมาเลเซียเมื่อต้นเดือนมิถุนายนกับอาจารย์วิลาสินี มีชาวมาเลเซียที่ได้ดูรายการนี้ทำบลูเบอรี่ชีสเค้กมาถวายภิกษุณีก้อนโตทีเดียว..)

มีผู้หญิงคนอื่น ๆ อีกไหม ที่อาจจะอยากบวชตามท่านด้วยแต่ไม่กล้า หรือยังไม่อาจจะสละทุกอย่างเพื่อมาบวชได้

          ตอนนี้ก็มีคนมาหาบอกว่าต้องการบวชทันที แต่อาตมาจะให้เขามาวัตรฯ ในวันอาทิตย์ดูก่อน มาเรียนรู้ มาฟังการบรรยายธรรมะ เพื่อเรียนรู้ว่าจะใช้ชีวิตเป็นพระภิกษุณีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด ใครที่ต้องการจะบวชก็ต้องมาเริ่มที่วัตรฯ ของเรา และตามพระธรรมวินัยผู้ที่บวชเป็นภิกษุณีจะต้องมาจำวัดอยู่ที่วัตรฯ นี้เป็นเวลาถึง ๕ ปี จึงต้องมีการทำความรู้จักกันให้ดีเสียก่อน แต่ถ้ามีความมุ่งมั่นจริงและทำได้ตามที่ตั้งปณิธานไว้ก็บวชได้

ต่อไปเป็นคำถามที่คนมักจะเข้าใจว่า ผู้หญิงที่มาวัตรฯ มาหาพระ และอยากบวชนั้น เป็นผู้หญิงที่ประสบปัญหา เป็นผู้ถูกกระทำ หรือเป็นคน “หลงทาง”

          ตอนนี้ที่วัตรฯ มีผู้หญิงที่เตรียมจะบวชสองคน คนที่หนึ่งก็เป็นคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป ยังโสด ได้ศึกษาธรรมะมาจากที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง มีความต้องการจะค้นหาแนวทางเพื่อความหลุดพ้น ส่วนอีกคนเป็นคนที่ผ่านชีวิตมาหมดแล้ว ทั้งแต่งงานมีลูก เบื่อหน่ายชีวิตทางโลกจึงอยากละทิ้งชีวิตทางโลก ไม่ว่าใครที่อยากจะบวช อาตมาจะชวนให้มาอยู่วัตรฯ อยู่อย่างอุบาสิกานี่แหละ เมื่อเข้มแข็งพอแล้ว มีความมั่นใจว่าจะดำเนินชีวิตแบบนักบวชได้ก็ค่อยบวช ให้ค่อยเป็นค่อยไป

คำถามสุดท้ายค่ะ ท่านคิดว่าจะได้เห็นความเท่าเทียมกันของภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ในชีวิตนี้หรือไม่

          (ตอบทันทีว่า) “ไม่” แต่อย่างไรก็ตามอาตมาก็ต้องทำหน้าที่ในส่วนของอาตมา เป็นการเริ่มต้นเพื่อที่คนรุ่นลูกรุ่นหลานจะได้ว่าไม่ได้ว่าอาตมาไม่ได้ทำอะไรเพื่อพวกเขาเลย.. .


ในการตีพิมพ์ครั้งนี้ใช้คำว่า “ภิกษุณี” แทนคำว่า “หลวงแม่” – บรรณาธิการ
หน้าแรก | กลุ่มเสขิยธรรม | ความเคลื่อนไหว | ประเด็นร้อน | ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
นักบวชกับสังคมร่วมสมัย |> จดหมายข่าวเสขิยธรรม | รวมเว็บน่าสนใจ | แผนผังไซต์
เสขิยธรรม https://skyd.org
สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน

กลุ่มเสขิยธรรม ๑๒๔ ซอยวัดนพคุณ ถนนสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพฯ ๑๐๖๐๐
โทร. ๐๒-๘๖๓๑๑๑๘, ๐๖-๗๕๗๕๑๕๖ โทรสาร ๐๒-๔๓๗๙๔๔๕
... e-mail :