เสขิยธรรม -
จดหมายข่าวเสขิยธรรม
หน้าแรก | สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน | แผนผังไซต์

เสขิยธรรมฉบับที่ ๕๕
ชีวิตแห่งการภาวนา

วดีลดา เพียงศิริ

สวน 'อย่ายุ่ง'

 

แม่ก็เป็นเสียแบบนี้ พอตัวเองฮิตจะทำอะไรขึ้นมา ก็มักจะเรียกร้องให้ลูก ๆ เห็นดีเห็นงามตามไปด้วย ตอนนี้ผมกับพี่นวลเลยรวมหัวกันแอนตี้แม่

          ช่วงนี้แม่ติดการปลูกต้นไม้ครับ ที่ผมเรียกว่าติดก็คือ แต่ก่อนเมินเสียเถอะที่แม่จะตื่นแต่เช้า แต่เดี๋ยวนี้พอแสงสีทองทาบท้องฟ้าปุ๊บ โน่น แม่เข้าไปอยู่ในสวน – – อ๊ะ อ๊ะ อย่านึกว่าสวนสาธารณะนะครับ แล้วก็อย่านึกว่าสวนครัวด้วย สวนส่วนตัวก็ยังฟังดูดีเกินไป ที่แท้แล้ว สวนของแม่เล็กกระจิ๊ดเดียวถ้าเอาอิฐมอญมาปูรวมกัน เรียกว่ายังไม่ได้ ๒๐๐ ก้อนเลยครับ

          แต่ต้นไม้ในสวนของแม่หรือครับ พูดได้คำเดียวว่าอึดตะพึด และแล้วแม่ก็ตั้งชื่อสวนให้พวกเราค้อนแล้วค้อนอีกว่า “สวน ‘อย่ายุ่ง’” ทำยังกะมีคนเขาอยากไปยุ่งกับสวนของแม่นักนี่

          ความหมายหรือครับ เวลาแม่ดื่มด่ำอยู่กับการแยกต้นไม้ ตัดแต่งพุ่มหรือใบ โทรศัพท์มาก็อย่ามาตามไงล่ะครับ แม่จะดุเราด้วยดวงตาว่า ยุ่งไม่เข้าเรื่อง! จนผมต้องถามตัวเองว่า ผมผิดยังไงที่หวังดีไปเรียกแม่ ฮึ!

          ส่วนความหมายแฝงนั้น แม่ต้องการจะบอกป๊าครับว่า อย่ามายุ่ง มาแยก มาย้าย หรือมายก (ต้นไม้แม่ไปให้ใครนะจ๊ะ…) เชียว

          ที่ผมเคยถูกกรอกหู หรือขอดัดพูดว่าได้ยินวาทกรรม ทำนอง “การปลูกต้นไม้ทำให้คนเราใจคอสงบเยือกเย็น ใจกว้างมีความเมตตากรุณาโอบอ้อมอารีมากขึ้น” นั้น บางทีงานนี้อาจจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่

          อย่างคราวที่แล้ว แม่ใช้ผมจนหลังแอ่น หลอกล่อ ติดสินบน ขู่เรื่องจะหักค่าขนม โอ๊ย…เทคนิคแม่มีเป็นกระตั๊ก ทั้งหมดเพื่อให้ผมขุดดิน แล้วแม่ก็ปลูกแต่ดอกไม้สีม่วง สมมั้ยล่ะครับ อีก ๒ อาทิตย์ต่อมา พวกเราต่อห้องกระจกออกไปที่สนาม คนงานมาถึง สวบ สวบ สวบ ย่ำ “สวนสีม่วง” ของแม่ราพณาสูร ขอบอกว่า ดอกไม้ทั้งแปลงไปผุดไปเกิดเป็นปุ๋ยในพริบตา – – ไม่เหลือให้แม่เชยชมสักกอ

          แล้วแทนที่แม่จะโกรธคนงาน เชื่อมั้ยครับว่า คนที่แม่โกรธคือป๊า แม่หาว่าป๊าอยู่บ้านแล้วทำไมไม่ย้ายต้นไม้ให้แม่ โกรธแล้วแม่ก็ขู่ แม่ขู่เก่งมาก ผมพบว่า การปลูกต้นไม้นี่มันเป็นแค่ “กิจกรรม” จริง ๆ หรือถ้าจะช่วยให้ใจสงบก็คงช่วยได้เฉพาะบางคนเท่านั้น เพราะยิ่งแม่แยกต้นไม้ ปลูกต้นไม้จนสวนของแม่เขียวขจี แม่ก็ยิ่งขู่เก่ง ผมสาบานไว้เลยว่า ถ้าโตขึ้นผมมีแฟน ผมจะเลือกเอาคนที่ขู่ไม่เก่ง – – เป็นอันดับแรก พูดจริง ๆ ว่าเก็บกดจากวัยเด็ก

          เมื่อแม่หายเข้าไปในสวน พวกเราก็มีเวลาทำสิ่งที่เราชอบ เพราะอย่างที่บอกว่าแม่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกอีกแล้ว คงมีปะป๊าแหละครับที่ใจอ่อน จะว่าไปก็ไม่ใช่เพราะเอาใจแม่ แต่ป๊าก็ชอบปลูกต้นไม้เหมือนกัน ปลูกไม่ปลูกเปล่า ป๊าจะเน้นเรื่องเอาต้นไม้ที่ใบเหลืองกรอบใกล้ตายรอมร่อมาฟูมฟัก ครั้นพอมันพ้นอาการโคม่า ป๊าจะยิ้มไม่หุบ ปลื้มไม่รู้เลิก อย่างกับได้เสนอชื่อเข้ารับรางวัลพ่อดีเด่น!!

          และเมื่อป๊าอยู่นอกบ้าน พวกเราก็สบายไป เพราะเราจะได้ยิน “ป๊าจ๋า....ขอดินถุงนึง”

          “ป๊าจ๋า....กาแฟมีเหลือมั้ยจ๊ะ” เมื่อไหร่ที่แม่เรียกชื่อแล้ว มี “จ๋า” ต่อท้าย เมื่อนั้น ‘หนาว’ ครับ เพราะแม่ต้องเรียกใช้ให้ทำนู่นทำนี่แน่นอน

          เมื่อพวกเราได้ครองบ้าน พี่นวลมักจะทำขนม เดี๋ยวนี้เขาทำขนมไปส่งที่โรงเรียนของแม่ แม่บ่นว่าขาดทุน เพราะอัฐยายซื้อขนมยาย และพี่นวลใช้แต่วัตถุดิบดี ๆ แต่แม่เขาก็พูดตามตรงนะครับ เขาบอก “เอาเถอะ…ยังไงแม่ก็จะได้เอาไว้คุย ว่าแม่เลี้ยงลูกเก่ง ลูกรู้จักทำขนมขาย รู้จักหาเงิน ไม่ใช่คุณหนู มีลูกยังงี้ช่วยเสริมบารมีแม่ ฮิ ฮิ”

          หรือผมเอง ชอบวาดรูป แม่ก็จะให้กำลังใจด้วยการเอามาใส่กรอบติดเต็มบ้าน สมุดวาดการ์ตูนเป็นช่อง ๆ ของผม แม่ก็จะเอามาวาง นำเสนอไว้แถว ๆ โต๊ะรับแขก ญาติโยมสาธุชนมาถึงเมื่อไหร่ แม่มักจะหาเรื่องโยงใยให้ผมโชว์สมุดพวกนี้ ถ้าผมไม่โชว์ แม่ก็จะต่อว่าเมื่อญาติกลับ “นี่ ให้ความร่วมมือกับแม่หน่อยได้ไหม” จากนั้น ท่านคงเดาออกใช่ไหมครับ ว่าแม่ต้องตามด้วย “ขู่” แน่นอน “ถ้าไม่ทำให้แม่ชื่นใจบ้าง คอยดูเถอะ แม่จะ....”

          ผมจำได้ว่า แม่เคยขู่ไปร้องไห้ไปครั้งหนึ่ง แม่ใช้ถ้อยคำที่ใจร้ายที่สุดเลยให้ตายเถิดและมันทำให้ผมกลัวที่สุดในชีวิต ผมเลยร้องไห้ตาม พี่นวลก็ร้องโฮ ทุกคนร้องกันระงม แล้วกอดกันกลมดิ๊ก

          แต่จะว่าไป จากนั้น เราสองคนก็ไม่เคยทะเลาะกัน (ให้แม่ได้ยิน) อีกเลย

          แม่บอกว่า “รู้ไหมว่าแม่อยากทำอะไรที่สุด ตอนนี้”

          พวกเรายังถีบถองกันอลหม่าน

          “แม่อยากออกจากบ้านไปเดี๋ยวนี้ แล้วไม่กลับมาอีกเลย”

          โอ้โห....ลงโทษเกินกว่าเหตุมั้ยนี่ แม่เรา

          ภายหลังแม่ เจ้าของทฤษฎีเลี้ยงเด็กสารพัดชาติสารภาพว่า แม่รู้สึกผิดมาก ผมดีใจนึกว่า ต่อไปแม่จะไม่ “ขู่” พวกเราอีกแล้ว ที่ไหนได้ ตรงกันข้าม แม่รู้สึกผิด เพราะตามทฤษฎีของการขู่นั้น มีอยู่ว่า ท่านต้อง “ขู่” เฉพาะสิ่งที่ท่านสามารถทำได้จริง ๆ เท่านั้น

          แต่วันนั้น แม่ขู่ในสิ่งที่ไม่มีวันทำได้

          แม่บ้านนี้ติดลูกจะตายใคร ๆ ก็รู้ และที่แม่ไปติด “การปลูกต้นไม้” ก็เพราะลูกเริ่มจะไม่ยอมให้แม่ติดแล้วน่ะซี่ ไม่ใช่อะไรหรอก – – – ก็วัยรุ่นที่ไหน จะยอมให้แม่แต่งกิ่งอยู่ได้ล่ะ !

          นึกหรือว่าพวกเราไม่รู้!!

 

          แดดอ่อน สายลมฤดูหนาวเช้าวันอาทิตย์เป็นเสมือนระฆังแยกเราออกจากกัน พี่นวลเข้าครัว ผมวาดรูป ป๊าแปลหนังสือ หรือไม่ก็ไปขุดดินอยู่อีกฟากหนึ่งของสนาม ส่วนแม่ขลุกอยู่ในสวนหน้าบ้าน

          แต่เช้านี้ไม่งั้น แม่หายไปแต่เช้า พวกเราทราบจากป๊าว่า แม่ไปซื้อกระถางเพิ่ม เพราะแยกต้นไม้ใส่กระถางทุกใบที่มีในบ้าน ไม่ละ ไม่เว้น, ไม่รังเกียจ แม้กระทั่งกระถางบิ่นหรือกระถางชายน้อยในเรื่องบ้านทรายทอง นั่นคือ กระถางปากเบี้ยว

          แม่กลับมายังไม่เที่ยง หิ้วทั้งต้นไม้ หอบทั้งกระถาง แถมหนีบถุงก๋วยเตี๋ยวมาฝากพวกเราด้วย

          หะแรกพวกเรานึกว่าจะได้ยิน “ป๊าจ๋า นวลจ๋า ปายจ๋า มาช่วยแม่ขนของเร๊ว.....ว....”

          แต่ไม่ได้ยินแฮะ แม่กลับมาด้วยอาการสงบมาก แล้วแม่ก็เริ่มเล่า รู้อยู่แก่ใจว่า เวลาแม่เล่าอะไร แม่จะใส่สีตีไข่ มีระดับเสียงสูงต่ำ แถมลงทุนแสดงท่าทาง เสียจนตรึงพวกเราอยู่กับที่ ผมเรียกอาการอย่างนี้ว่า ประหยัดค่าไฟ คือไม่ต้องเปิดทีวีให้เมื่อย และที่เกริ่นมา ก็เพราะเกรงจะเล่าให้ออกรสอย่างแม่ไม่ได้นั่นเอง

          “ลูกเอ๊ย.... รู้มั้ยว่าแม่ไปเจออะไรมา เฮ้อ....” แม่ถอนหายใจ เพื่อเรียกน้ำย่อย ชวนให้ติดตาม ผมเองก็แอบถอนหายใจไปด้วย เพราะกำลังอ่านหนังสือในมือค้างอยู่

          “ลูกก็รู้ใช่มั้ยว่า แม่เป็นคนขับรถยังไง บางทีก็ขาดบางทีก็เกิน ทีนี้แม่ก็จอดติดไฟแดงที่สี่แยก ปรากฏว่าแม่ขับเข้าไปซะชิดเกือบจะชนคันหน้าเลยลูกเอ๊ย....ย พอเกือบจะไปชนเค้าเข้า แม่ถึงได้เห็นว่า รถคันหน้าแม่เป็นรถตู้ เขียนว่ารถฉุกเฉิน ติดฟิล์มไม่ดำมาก บนหลังคารถมีไซเร็น แต่เขาไม่ได้เปิด แต่ไม่ใช่รถที่มักเขียนคำว่า รถพยาบาลกลับหัวพวกนั้นนะ

          แม่ก็ไม่ได้คิดอะไร ยังมีการไปสบตากับพยาบาลที่นั่งเอียง ๆ อยู่ชิดประตูเลยลูก

          แต่แล้ว… (แม่ทำท่าตื่นเต้น ลุกขึ้นยืน) จู่ ๆ บุรุษพยาบาล แม่ก็ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เค้านั่งอยู่ตรงไหน รู้แต่ ภาพที่เห็นคือ เขาลุกขึ้นยืน และลงมือปั๊มหัวใจคนไข้อย่างแรง แรงจนใจแม่กระตุกไปด้วย มันแรงมาก แรงจนรถตู้ทั้งคันโยกไปโยกมา โคลงไปโคลงมา น่ากลัวมาก”

          ถึงตรงนี้พวกเราทุกคนใจคออ่อนยวบ สมใจแม่

          “แม่สบตากับพยาบาล ดวงตาของเธอเฉยนิ่ง ไม่ขยับตัว ไม่ตื่นเต้น แต่ใจแม่น่ะเต้นเหมือนจะหลุดมาอยู่นอกอก มือไม้แม่อ่อนไปหมด เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น ไม่เคยคิดว่า จะต้องเป็นพยาน เห็นการต่อสู้ของบุรุษพยาบาลกับพญายม กลางสี่แยก แม่ได้แต่แผ่เมตตาให้เค้า พอไฟเขียว คนขับรถก็เปิดไซเร็นขอทาง แม่เองก็ขอทางเหมือนกัน ต้องรีบจอดรถ เพราะขับรถต่อไปไม่ไหว บางทีความตายมันอยู่ใกล้เสียจนไม่ต้องเอื้อมเลยด้วยซ้ำ”

          สุดท้าย พวกเราก็กอดกันกลมเหมือนหนังแขก แม่ร้องไห้ พวกเราปลอบ โดยหารู้ไม่เลยว่า เหตุการณ์นี้ได้มาเตือนแม่เรื่องความตายโดยตรง.....

          เมื่อกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จ ผมกับปะป๊าออกไปข้างนอกด้วยกัน กิจกรรมของเรามีไม่มาก ไปร้านหนังสือ และไปตีเทนนิส พี่นวลเลือกทำขนมสูตรใหม่ ห้องครัวรกยังกับรังหมาร่า ส่วนแม่ก็เข้าสวน “อย่ายุ่ง” ไปตามเคย แต่สงบกว่าทุกวันที่เราเคยเห็น

          ก่อนออกไป พวกเราไปบ๊ายบายแม่ โดยไม่รู้ว่า เกือบจะได้เห็นหน้าแม่เป็นครั้งสุดท้ายซะแล้ว แม่เรียกป๊าจ๋า แต่ไม่ได้ใช้อะไรเหมือนเคยแล้วพูดกับป๊า ผมฟังแล้วรำคาญเลยเดินหนี แม่บอกว่า “ป๊า…แม่เข้าใจแล้วล่ะว่า อะไรให้ความชื่นใจ อิ่มเอมใจกับมนุษย์ที่สุด แต่ก่อนแม่นึกว่า คือการให้กำเนิดชีวิต แต่ตอนนี้แม่รู้แล้วล่ะว่า คือความภาคภูมิใจที่เห็นชีวิตงอกงามด้วยน้ำมือเราไงล่ะ ไม่ว่าลูกของเรา ไม่ว่าต้นไม้ เรื่องพวกนี้สวยงามละเอียดอ่อน และตรึงมนุษย์ให้อยู่ในโลก ให้ “อยู่กับโลก” อย่างแยบคายที่สุด ป๊าดูเฟิร์นต้นนี้สิ…”

          ผมรอป๊าอยู่ที่ประตู นึกในใจว่า ก็มันจะไม่งามได้ยังไง ลืมตาขึ้นมาแม่ก็กระโจนเข้าใส่ฟ็อกกี้แล้วก็ฉีด ฉีด ฉีดจนไอ้เฟิร์นมันจะสำลักน้ำตายรอมร่อ

          ป๊ายิ้ม จะมีใครใจดีกับแม่เท่าป๊าอีกมั้ย แม่พูดอะไรเออออเข้าข้างโหม้ด....ด

          “แม่เข้าใจคำว่าราหุลแล้วล่ะ ป๊า มันละเอียดแล้วก็แนบเนียนจริง ๆ” แล้วแม่ก็หัวเราะเหมือนเขินอะไรก็ไม่รู้ “แต่เข้าใจ กับเท่าทันมันคนละคำกันนะป๊านะ”

          ทีนี้ป๊าลงนั่งแบบหลวงพ่อคูณ ผมใจหายแว๊บ กลัวร้านหนังสือจะปิดเสียก่อนน่ะซี

          “ป๊า.... แม่มาคิด ๆ ดู แม่เข้าใจแล้วล่ะว่า ทำไมแม่ไม่เคยทำใจเรื่องพระเวสสันดรได้ เวลานี้แม่รู้แล้วล่ะว่ามันเป็นเรื่องของสภาวะ ที่เราจะเอาเกณฑ์ของมนุษย์ เกณฑ์ของความรับผิดชอบ เกณฑ์ของความเห็นแก่ตัว เข้าไปตัดสินไม่ได้ ก็สภาวะที่เฉือนเนื้อหัวใจ ด้วยการให้ลูกของเรา สิ่งที่ปลิดยากที่สุดในโลกกับคนอื่นนี่ มันไม่ใช่สภาวะที่มนุษย์ที่ถูกมันรัดด้วยความอ่อนหวานทีละน้อย ๆ ชนิดไม่ไหวตัวจะรับได้ แม่ว่าแม่เริ่มเข้าใจบ้างแล้วนะป๊า”

          ป๊ายิ้ม แต่ผมยัวะ เมื่อไหร่จะไปสักที ๆ ๆ ๆ

 

          ตกค่ำ เรากลับมาจากเล่นเทนนิส บ้านเงียบเหมือนงีบหลับไปชั่วขณะ เพราะคราวนี้

          “ความตาย” ไม่ได้มาทักแม่ที่สี่แยกไฟแดง แต่มันอยู่ในอ้อมกอดของแม่เลยทีเดียว

          “แม่เดินอุ้ม “งู” รอบบ้าน”

          ผมกับป๊าประสานเสียงพร้อมกันว่า “หา.....า....า” นึกว่าแม่เว่อร์ แต่พี่นวลพยักหน้าบอกว่าจริง

          “พอดีแม่ปลูกต้นไม้จนกระถางที่ซื้อมาใหม่หมด แม่ก็เหลือบไปเห็นกระถางสามใบคว่ำอยู่ใต้ต้นรำเพย ทีนี้มันหนักแม่เลยใช้วิธีอุ้มเอา พออุ้มไปเจอต้นอะไรที่งอก รอบ ๆ บ้านเรา แม่ก็เอากระถางวาง ลงไปนั่งขุด ๆ ๆ จนหนำใจ แล้วก็ตักใส่กระถาง กะจะเอามาปลูกในสวน แม่อุ้มกระถางไปรอบบ้าน เดี๋ยวอุ้มเดี๋ยววาง ได้ต้นนั้นต้นนี้มาเต็มไปหมด

          พอมาถึงสวน “อย่ายุ่ง” แม่ก็เอากระถางวางข้าง ๆ ตัว แล้วก็ทำนั่นทำนี่ เอาล่ะถึงคิวปลูกต้นไม้ใส่กระถางเสียที เอ๊ะ.... ทำไมใบแรกกับใบกลางมันไม่ยอมแยกออกจากกันวะ ไม่เป็นไร เอาใบล่างก่อน ปลูกค่ะ ปลูก ๆ ๆ ทีนี้เอาล่ะสิ ต้องใช้กระถางเพิ่ม แต่ดึงเท่าไหร่ ๆ กระถาง ๒ ใบก็ไม่ยอมหลุดออกจากกัน คว่ำก็แล้ว เคาะก็แล้วเอาเสียมแงะก็แล้ว ตบ ทุบสารพัด จนในที่สุดมันก็หลุดออกจากกัน ในท่าที่ทะมัดทะแมงมาก นั่นคือ กระถางทั้ง ๒ ใบวางอยู่บนตักแม่เอง ยังกะแซนด์วิชไส้งูสามเหลี่ยมเลยลูกเอ๊ย....ย งูมันอยู่ในกระถาง!! ตัวมันงี้มันเลื่อมเป็นปล้องสีเหลืองแช้ดสลับดำปี๋ แม่สบตามันหนึ่งแว่บ ชั่ววินาทีนั้น แม่ก็รีบกดกระถางลงไปตามเดิม – –

          แล้วแม่ก็สปริงตัวขึ้นไปอยู่บนโต๊ะตะโกนเรียกให้คนข้างบ้านช่วยเอางูไปปล่อยให้ที

          ป้าไพ คนสวนบ้านข้าง ๆ อยากฆ่ามันใจแทบขาด แต่ยอมทำตามที่แม่ขอร้องคือ เอาไปปล่อยที่บ้านร้างฝั่งตรงข้าม พร้อมขู่แม่ด้วยความหมั่นไส้ว่า “เดี๋ยวอีกสิบนาทีมันก็ข้ามกลับมา ท่าทางมันคงมีพี่มีมีน้องอยู่บ้านเรา เผลอ ๆ ไข่ไว้ยุ่บยั่บซะก็ไม่รู้”

          แม่นั่งหน้าซีดเชียว ผมสงสารแม่ แต่บอกตามตรงว่า สะใจในคำขู่ของป้าไพ เพราะบางทีแม่อาจจะเห็นใจคนที่ถูกแม่ขู่ขึ้นมาบ้าง

          “ถ้าแม่ถูกงูกัด เหตุการณ์มันคงไม่ใช่อย่างนี้”

          ผมจำได้ว่า แม่สอนมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วว่า ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับครอบครัวที่เขาร่ำรวยกว่าเรา ของขวัญที่ดีที่สุดที่ชีวิตมอบให้ คือ “ตกเย็นเรายังมีชีวิตรอดกลับมาพบหน้ากันครบทุกคน” แต่ผมไม่เคยเข้าใจจนกระทั่งบัดนี้

          “แม่ได้ชีวิตกลับคืนมาแล้ว แม่จะใช้มันต่อไปยังไงดีนะ” แม่เปรยด้วยความจริงใจ ตางี้แป๋วเชียว

          โมโหน้อยลง โมโหน้อยลง ขู่น้อยลง ขู่น้อยลง ผมร่ำร้องในใจ ที่จริงก็น่าจะพูดให้แม่ได้ยิน เป็นการทดสอบเหมือนกันนะ แต่บอกตามตรงกับแม่แล้วผมไม่กล้า

          เรื่องนี้ผมมาเล่าให้ป๊าฟังสองคน ป๊าหัวร่อลงลูกคอแล้วว่า “เอ็งจะไปกล้าแหยมได้ยังไง ป๊าเองยังไม่กล้าเลย”

          “นั่นน่ะสิป๊า ผมกลัวว่า ทีนี้จะไม่ใช่สวน “อย่ายุ่ง” แต่มันจะกลายเป็น สวน “แล้วยุ่ง” มากกว่า”

 

          วันอาทิตย์แสนรักของแม่เวียนมาอีกครั้ง แม่เข้าไปอยู่ในสวนตามเคย งูสามเหลี่ยมทำให้แม่ใจเย็นลงตลอดอาทิตย์ แต่เช้านี้แม่ไม่โกรธคน แม่เริ่มโกรธหมา “ไอ้หมูติ๊งมันมาย่ำต้นไม้แม่แหลกหมดเลย ตาปายมาช่วยแม่จับมันเร็ว คอยดูนะ…… แม่จะไม่ให้กระดูกมันแม้แต่ชิ้นเดียว” แม่เดือดดาลไม่มีการระงับ

          ผมวิ่งไล่จับหมา จนลิ้นห้อยกว่าหมา

          – – – เพื่อแม่. .

หน้าแรก | กลุ่มเสขิยธรรม | ความเคลื่อนไหว | ประเด็นร้อน | ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
นักบวชกับสังคมร่วมสมัย |> จดหมายข่าวเสขิยธรรม | รวมเว็บน่าสนใจ | แผนผังไซต์
เสขิยธรรม skyd.org
สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน

กลุ่มเสขิยธรรม ภายใต้มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ ๑๔/๖๓ หมู่บ้านสวยริมธาร ๒ ซอย ๕
ถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก แขวง/เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ ๑๐๑๗๐
โทร. ๐๒-๘๐๐-๖๕๒๖ ถึง ๘, ๐๖-๗๕๗-๕๑๕๖ โทรสาร ๐๒-๘๐๐-๖๕๔๙
... e-mail :