เสขิยธรรม -
นักบวชกับสังคมร่วมสมัย
หน้าแรก | สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน | แผนผังไซต์

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ)
เหยื่ออธรรมผู้หาญกล้า

คอลัมน์ มงคลข่าวสด
ข่าวสด วันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๖ ปีที่ ๑๓ ฉบับที่ ๔๗๒๘ หน้า ๑

 

           เป็นตำนานเล่าขานกันมากว่า ๔๐ ปีที่ฟังไม่มีเบื่อ ชีวิตการต่อสู้อันยิ่งใหญ่เพื่อความเป็นธรรมของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) ช้างเผือกเมืองขอนแก่น ลูกอีสานขนานแท้

          จากสามัญขึ้นสู่สูงสุดและลงต่ำสุด เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ฝ่าฟันอุปสรรคอันตราย ศัตรูทั้งการเมืองและวงการศาสนจักร จนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด

          แต่ก็ไม่ยอมพ่ายแพ้ ไม่ยอมละทิ้งอุดมคติ อุดมการณ์อันสูงส่ง ต่อสู้ด้วยอหิงสธรรมเฉกเช่นมหาตมะ คานธี และศรีเยาวหราล เนรูห์ ผู้นำยิ่งใหญ่ของอินเดีย

          สมเด็จพระพุฒาจารย์ บุกเบิกและสร้างตำนานประวัติศาสตร์หน้าใหม่คณะสงฆ์ ทั้งด้านการปกครอง การศึกษา เผยแผ่

          โดยเฉพาะการทุ่มเทแรงกาย และสติปัญญาให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแห่งคณะสงฆ์ไทย ฝ่ายมหานิกาย จนมีความเจริญรุ่งเรืองในปัจจุบัน ที่สามารถผลิตพระบัณฑิตที่มีความรู้และคุณธรรมตอบสนองศาสนจักรและอาณาจักรรุ่นแล้วรุ่นเล่า

          ท่านเป็นยอดคนที่ทนอดและแข็งกล้า มุ่งมั่น อาจหาญ และเด็ดเดี่ยว ทุกวิถีแฝงเร้นด้วยความจริงใจเป็นที่ตั้ง พ้นจากคดีความใส่ร้ายรุนแรงจากรัฐบาลเผด็จการจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ข้อหามีการกระทำเป็นคอมมิวนิสต์

          ต้องอธิกรณ์ว่ามีพฤติกรรมบ่อนทำลายชาติและพระศาสนา ถูกกล่าวหาว่าต้องอาบัติปาราชิก ช่วงสมัยดำรงสมณศักดิ์ที่พระพิมลธรรม ถูกอำนาจมืดถอดยศ ปลดจากเจ้าอาวาสกลางอากาศ ถลกจีวร แต่ท่านก็หาได้ทิ้งความอาจหาญลงไม่ กลับมีใจเข้มด้วยเมตตาจิต ไม่คิดร้าย

          จนคดีความกระจ่างแจ้ง ดำรงตนอยู่อย่างองอาจ

          นามเดิมท่านชื่อ "คำตา" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "อาจ" ได้ถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๘ พ.ย. ๒๔๔๖ ตรงกับวันอาทิตย์แรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๒ ณ หมู่บ้านโต้น อ.เมือง จ.ขอนแก่น เป็นบุตรของโยมพ่อพิมพ์ โยมแม่แจ้ ดวงมาลา

          อายุ ๑๔ ปีได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศรีจันทร์ โดยมีเจ้าอธิการหน่อ เจ้าอาวาสวัดศรีจันทร์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พอบวชเสร็จก็ได้ร่ำเรียนอักษรลาว และอักษรไทยควบคู่กันไป โดยพระอาจารย์หนูเป็นครูสอน

          ปีรุ่งขึ้น ทางราชการได้ประกาศให้พระภิกษุสามเณรและคฤหัสถ์ที่มีความรู้ภาษาไทย ให้เข้าศึกษาอบรมวิชาครูที่โรงเรียนประจำจังหวัด ๑ ปี ท่านติดอันดับที่ ๔ ในจำนวนผู้สอบ ๗๐ กว่าคน และเป็นครูสอน ๓ ปี แล้วลาออกเพื่อมาศึกษาพระปริยัติธรรมในกรุงเทพฯ

          ช่วงแรกได้มาพำนักที่วัดพระยายังแล้วย้ายไปอยู่วัดชนะสงคราม สมัครเรียนบาลี-นักธรรม ในมหาธาตุวิทยาลัย วัดมหาธาตุ แล้วย้ายมาอยู่วัดมหาธาตุในความปกครองของสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมไตรโลกาจารย์

          ลุถึงปีพ.ศ. ๒๔๖๖ อุปสมบทเป็นพระ ณ พัทธสีมาวัดมหาธาตุ โดยมีสมเด็จพระวันรัต (เฮง) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า" อาสโภ" อันมีความหมายว่า ผู้กล้า,ผู้องอาจ

          จากนั้นก็พยายามฝึกฝนตนเองอย่างเต็มที่เพื่อให้สายเลือดแห่งมหาธาตุวิทยาลัยเข้มข้น ทั้งบุคลิกลักษณะ ความประพฤติปฏิบัติ ความเคารพในระเบียบ และความขยันหมั่นเพียรอย่างจริงจัง จนสอบได้เปรียญธรรม ๘ ประโยค

          เพียง ๑๒ พรรษาก็ได้รับโปรดเกล้าฯสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่"พระศรีสุธรรมมุนี" ก่อนขึ้นเป็นชั้นราชในราชทินนามเดิม ชั้นเทพที่"พระเทพเวที" ชั้นธรรมที่"พระธรรมไตรโลกาจารย์" และชั้นรองสมเด็จที่พระพิมลธรรมเมื่อปี ๒๔๙๒

          ด้วยวัย ๔๖ ปี ๒๖ พรรษา เป็นพระราชาคณะชั้นสุพรรณบัฏหรือรองสมเด็จที่อายุน้อยที่สุด และมีอำนาจการบริหารกิจการทางคณะสงฆ์สูง เป็นสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง เทียบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ห้วงนี้ก็พ่วงตำแหน่งแม่กองธรรมสนามหลวง และองค์ทุติยสภามหาวิทยาลัยต่อจากพระอุปัชฌาย์ด้วย

          ดวงของท่านยามนี้ถือว่ารุ่งสุดๆ แต่แล้วก็มาสะดุดเพราะความอิจฉาริษยาที่มีกลาดเกลื่อนในโลกนี้ ไม้เว้นแม้คนในผ้าเหลืองและคนศีลธรรมบกพร่อง

          ดังข้อความที่ระบุไว้ในหนังสือ"ผจญมาร" ท่านกล่าวมูลเหตุที่ถูกจับกุมคุมขังว่า"การงานที่ ๓ ประการที่ข้าพเจ้าสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ คือ ๑. การส่งพระภิกษุนักเรียนพุทธศาสตรบัณฑิตไปศึกษาต่อในต่างประเทศ ๒.ขอพระอาจารย์ชั้นธรรมาจาริยะจากประเทศพม่ามาให้ช่วยสอนพระอภิธรรมปิฎก ๓.ฟื้นฟูวิปัสสนาธุระ คือตั้งสำนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานขึ้นที่วัดมหาธาตุเป็นแห่งแรก แล้วขยายไปเกือบทั่วประเทศ"

          การงานทั้ง ๓ ประเภทนี้ไม่มีใครสร้าง จึงเป็นแรงจูงใจให้เกิดข้ออิจฉา กอปรกับท่านเป็นแม่กองธรรมสนามหลวงได้เปิดในต่างประเทศเป็นรูปแรก และเป็นพระธรรมทูตรูปแรกที่นำพระศาสนาไปเผยแผ่ต่างแดน ทั้งลาว กัมพูชา อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ อินเดีย พร้อมกันนั้นก็แลกเปลี่ยนการเผยแพร่ศีลธรรมกับคณะฟื้นฟูศีลธรรมระดับโลก ชื่อย่อ เอ็มอาร์เอ และเดินทางไปทำฉัฏฐสังคายนาที่ประเทศพม่า สมัยฯพณฯ อูนุ เป็นนายกรัฐมนตรี จนได้รับแต่งตั้งเป็นอัครมหาบัณฑิต เป็นองค์แรกของประเทศไทย

          มูลเหตุที่กล่าวมาเป็นเหตุให้รัฐบาลเผด็จการยุค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พร้อมกับแรงยุของพระผู้ใหญ่บางรูป กล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จับกุมคุมขัง ถูกปลดจากตำแหน่ง ถอดจากสมณศักดิ์ ใช้ชีวิตนุ่งขาวห่มขาวในห้องขังบริเวณกรมตำรวจนานถึง ๕ ปี ระหว่างปีพ.ศ. ๒๕๐๕-๒๕๐๙

          ตลอดเวลาที่ถูกคุมขัง ท่านยังรักษาความเป็นพระไว้อย่างเคร่งครัด เอาสถานที่คุมขังของตำรวจสันติบาลต่างอาราม จนกระทั่งกลับคืนสู่สมณเพศได้อย่างสง่างามและหมดจด

          แล้วก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ และมรณภาพด้วยโรคหัวใจล้มเหลวเมื่อวันที่ ๘ ธ.ค. ๒๕๓๒ รวมสิริอายุ ๘๖ ปี ๖๖ พรรษา

          วิถีชีวิตของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ) ท่านผ่านโลกธรรม ๘ ขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุด แล้วกลับสง่างาม ไร้มลทิน อีกครั้ง ท่ามกลางเสียงร่ำไห้ด้วยความตื้นตันใจและสาธุการจากสงฆ์ผู้ภักดี เพราะความเข้มแข็งและบรรลุสัจธรรมอันมาดมั่น

          แม้จะละสังขารไปนานแล้ว แต่คุณงามความดีที่จีรังยังคงอยู่ และเรื่องราวการต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ยังเข้มในความทรงจำของชาวเลือดสีชมพูอีกนานแสนนาน สมชื่อ "อาจ"

          ที่องอาจ อาจหาญกล้า สง่างามในธรรมจนวินาทีสุดท้าย

          ห้วงวันที่ ๘-๑๐ พ.ย. ๒๕๔๖ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้ร่วมกันจัดงาน ๑๐๐ ปีชาตกาลขึ้นที่บริเวณลานอโศก วัดมหาธาตุ เพื่อรำลึกถึงคุณูปการอันใหญ่หลวงที่ท่านฝากไว้ในวงการสงฆ์

          เชิญศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนไปร่วมรำลึกกันอีกวาระหนึ่ง .. .


บทความเกี่ยวข้อง ... พระพิมลธรรมผจญมาร : อำนาจและความชอบธรรมในสถาบันสงฆ์?
หน้าแรก | กลุ่มเสขิยธรรม | ความเคลื่อนไหว | ประเด็นร้อน | ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
> นักบวชกับสังคมร่วมสมัย | จดหมายข่าวเสขิยธรรม | รวมเว็บน่าสนใจ | แผนผังไซต์
เสขิยธรรม skyd.org
สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน

กลุ่มเสขิยธรรม ภายใต้มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ ๑๔/๖๓ หมู่บ้านสวยริมธาร ๒ ซอย ๕
ถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก แขวง/เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ ๑๐๑๗๐
โทร. ๐๒-๘๐๐-๖๕๒๖ ถึง ๘, ๐๖-๗๕๗-๕๑๕๖ โทรสาร ๐๒-๘๐๐-๖๕๔๙
... e-mail :