เสขิยธรรม
นักบวชกับสังคมร่วมสมัย
-
หน้าแรก | สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน | แผนผังไซต์

เย็นไว้โยม !

ไทยโพสต์แทบลอยด์
เรื่องปก ๑ สิงหาคม ๒๕๔๗
กองบรรณาธิการ

          "ถ้ามาเล่นกับพระโบราณว่าเป็นไฟ มาเล่นกับพระไม่ใช่ง่าย ถ้าคิดไม่ดีไม่รอบคอบ ท่านบอกว่าพระนี่เป็นอาหุรณยยัคคิ คือทำดีก็ดีมาก ถ้าทำดีกับพระนี่ดีที่สุดเลยเพราะเป็นเนื้อนาบุญ แต่ถ้าทำอะไรไม่ดีกับพระมันไหม้เอา ตกนรกหมกไหม้เพราะพระ อย่าไปเล่นกับไฟ"

          แทบลอยด์วันอาทิตย์นี้ตรงกับวันเข้าพรรษาพอดี เพื่อเป็นสิริมงคล ขอนิมนต์พระมาเทศน์โปรดใครบางคน ที่เพิ่งอ้างคำพระไปหยก ๆ

          การออกมากล่าวตำหนิพระสงฆ์ที่แสดงธรรมเทศนาทางวิทยุ ว่าไม่ควรพูดเรื่องการเมือง ถ้าอยากเล่นการเมืองก็เข้าพรรคไปเลย ของนายกรัฐมนตรีซีอีโอศูนย์กลางประเทศนั้น ถ้ามองเผิน ๆ ก็เป็นแค่ปากไวตามนิสัย แต่ถ้ามองให้ลึก ก็น่าคิดว่าตั้งแต่รัฐบาลนี้ขึ้นมาเผด็จอำนาจ ก็มีปัญหาเกี่ยวกับพระมาตลอด ๔ ปี ตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่างพระป่า-พระบ้าน การแต่งตั้งผู้รักษาการแทนสมเด็จพระสังฆราช มาจนร่าง พ.ร.บ.สงฆ์ และร่าง พ.ร.บ.จัดรูปที่ดิน ที่มีม็อบพระออกมาคัดค้านกันเหลืองอร่าม

          แม้จะมีอำนาจเบ็ดเสร็จเพียงไร แม้จะรวมศูนย์ได้ทุกองค์กร ทุกสถาบันทางการเมือง สามารถตอบโต้ ดิสเครดิต ปิดปาก ตั้งแต่สื่อมวลชน ฝ่ายค้าน ไปจนนักคิดนักวิชาการ "ขาประจำ" แต่สถาบันหนึ่งที่อำนาจเทวดาไม่สามารถรวมศูนย์ ตอบโต้ ดิสเครดิต หรือปิดปากได้ ก็คือพระสงฆ์นี่เอง พระสงฆ์ผู้เป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชนทั้งประเทศ ผู้กุม "พลังเงียบ" จำนวนมหาศาลไว้ภายใต้หลักธรรมของพระศาสนา

          ที่สำคัญคือหลักธรรมของพระศาสนา ซึ่งจรรโลงสังคมไทยมานานแสนนาน ได้สั่งสอนอบรมคนไทยให้มีสติ มีสำนึก ดำรงชีวิตอยู่ในศีลในธรรม ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่ลุ่มหลงมัวเมาอบายมุข ดูจะขัดกันอย่างรุนแรงกับนโยบายเศรษฐกิจแบบทักษิโณโครนี

          จึงไม่แปลกเลยที่พระภาวนาวิสุทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จะถูกห้ามเทศน์ออกอากาศทางสถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ ทั้ง ๆ ที่ท่านเพียงกล่าวถึงหลักธรรมาภิบาลของซีอีโอ และตักเตือนสั่งสอนเรื่องอบายมุข ก็ถูกกาหัวเป็นพระเล่นการเมืองเสียแล้ว

พระศรีปริยัติโมลี

"เล่นกับพระคือเล่นกับไฟ"

          รองอธิการฝ่ายกิจการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผู้ร่วมก่อตั้งศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนา และมีบทบาทมาตั้งแต่ครั้งร่าง พ.ร.บ.สงฆ์ พ.ร.บ.จัดรูปที่ดินฯ ชี้อย่างตรงเป้าว่า สาเหตุที่รัฐบาลมีปัญหากับพระ ก็เพราะรากฐานทางความคิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

          "ฐานความคิดรัฐบาลเป็นเรื่องบริโภคนิยม อะไรที่แปลงเป็นเงินได้รัฐบาลก็จะเอาหมด โดยไม่คำนึงว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องผิดศีลธรรมหรือเปล่า อย่างเรื่องเหล้าเถื่อน หวยใต้ดินก็เอาขึ้นมาบนดิน อย่างประกาศสงครามกับยาบ้าก็ฆ่าตัดตอนไป ๒ พันกว่าคน ถือว่าโหดร้ายมากนะ ฆ่าคนบริสุทธิ์ไปเท่าไหร่ คล้าย ๆ ว่าเป้าหมายเขาต้องการความสำเร็จ แล้วยังเหลืออีกหลายเรื่องที่เขาพยายามจะทำ แม้กระทั่งเรื่องที่วัด"

          "พระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อการพัฒนาเขาก็มุ่งที่ดินวัดที่ธรณีสงฆ์ที่มีมูลค่าเป็นหมื่นล้าน ถ้าออก พ.ร.บ.นี้มาได้ นอกจากจะลบล้างความผิดเรื่องอัลไพน์ที่ค้างคาเป็นหนามติดคออยู่ ก็ยังจะได้ประโยชน์ เอากฎหมายเข้าไปอ้างจัดประโยชน์ในที่วัด ยังพูดกันเรื่อยว่าถ้ากฎหมายฉบับนี้ออกมา วัดที่จะถูกจัดการวัดแรกในกรุงเทพฯ คือวัดปทุมวนาราม ที่อยู่ระหว่างเวิลด์เทรดกับศูนย์การค้าสยาม กลายเป็นว่าวัดไม่ควรจะอยู่ในที่ชุมชนแล้ว-ใช่ไหม ก็ใช้กฎหมายนี้โหวตกัน ๒ ใน ๓ จัดซื้อที่ใหม่ให้วัดย้ายไป ได้ที่ดินมีมูลค่าเป็นพัน ๆ ล้าน อย่างนี้ก็ทำได้แม้กระทั่งวัดบวรฯ วัดชนะสงคราม จัดเป็นโซนย้ายวัดไปอยู่ชานเมืองเลย"

          "แม้กระทั่งเรื่องบ่อนเสรี เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เขาก็จะเปิดอยู่แล้ว แต่กำแพงที่ต้านให้เขาเปิดไม่ได้คือเรื่องของศีลธรรม เรื่องของพระเจ้าพระสงฆ์ ถ้าพระเจ้าพระสงฆ์แข็ง ชาวพุทธแข็ง ก็ทำไม่ได้ ลึก ๆ เขาก็ยังหวั่นว่าถ้าพระสงฆ์พูดเป็นเสียงเดียวกันชาวบ้านก็จะไม่เลือกเขา หรือถูกพระสงฆ์เจริญพรทุกวัน ๆ เขาก็อยู่ไม่เป็นสุขหรอก ฉะนั้นความคิดมันต่างกัน"

          "แต่โดยที่รัฐบาลชุดนี้เขาคุมอะไร ๆ ไว้เยอะ สื่อก็คุมได้ยกเว้นไทยโพสต์ (หัวเราะ) ทีวีวิทยุ พระนี่เขาก็อยากจะคุม เขาก็พยายามออกมาบ้าง โยนหินถามทาง-พระพูดการเมืองออกมาเลยสิ ทิ้งจีวรมาเลยสิ ส่วนหนึ่งเขาอาจจะต้องการจะดิสเครดิตพระว่าไม่น่านับถือ ส่วนหนึ่งก็โยนหินถามทางดูก่อน ชาวบ้านจะเอากับเขาไหม หยั่งเชิงดู"

          "เขาก็รู้สึกว่า-โดยเฉพาะนายกฯ คล้าย ๆ คุมอำนาจได้หมด Absolutely Power ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ พระคือใคร ขนาดบริษัทใหญ่ ๆ ยังต้องโค้งให้เขาหมด กองทัพเขายังจับหันซ้ายหันขวาได้ เอ็นจีโอจัดเข้าระเบียบ พระเป็นใคร ส่วนใหญ่เขาก็มองว่าพระเป็นพลังเงียบ ไม่มีพลังอะไร แต่ว่า ๒-๓ ครั้งที่พระรวมกันได้นี่ แรก ๆ เขาก็ประเมินสถานการณ์ผิด คิดว่าจะไม่แข็ง อาจจะไม่มีสติปัญญาพูดกับสาธารณชน แต่เขาประเมินสถานการณ์ผิด คือสาธารณชนเขาก็รู้ มันก็เป็นกรรมของนักการเมืองที่ชาวบ้านเขาไม่เชื่ออยู่แล้ว (หัวเราะ) ชาวบ้านไม่เชื่อ อย่างทุจริต ๙๐๐ ล้านเขาไม่เชื่อคุณสุดารัตน์นะ นายกฯ ที่พูด ๆ คนไม่เชื่อเยอะเลย ท่านจึงรู้ตัว แม้กระทั่งห้ามไม่ให้พระออกรายการวิทยุ พอท่านออกมาโต้ไปโต้มา มีแต่คนออกมาเข้าข้างพระนะ ไม่มีใครเข้าข้างรัฐบาล เพราะฉะนั้นคราวนี้จึงบอกว่าเย็นไว้โยม ไม่กล้าโต้คุณธีรยุทธ"

          ถ้ามองกันจริง ๆ แล้ว พระศรีปริยัติโมลีก็บอกว่าพระไม่ได้ไปยุ่งกับการเมือง แต่การเมืองมายุ่งกับพระเสียมากกว่า

          "อาตมาก็พูด ไม่ใช่พระไปยุ่งการเมือง การเมืองมายุ่งกับพระ อย่างเรื่องสำนักงานพุทธศาสนาฯ มันก็ยุ่งมาตั้งแต่การร่าง พ.ร.บ. - เอาฆราวาสมาคุม เราก็ยอมไม่ได้ เอาฆราวาส ๓๙ คนมาคุมมหาเถรสมาคม อำนาจอย่างนี้เราไม่ยอม ๓๙ คนมีทั้งฆราวาสที่เป็นพุทธทั้งศาสนาอื่น อย่างนี้เราค้าน จนออกมาเป็นเรื่องของสำนักพุทธฯ นี่เราถอยแล้วนะ ถอยจนไม่รู้จะไปไหน ไม่ใช่เรารุก ไม่ใช่เรากระเหี้ยนกระหือรืออยากจะไปยุ่งกับการเมือง พระราชบัญญติจัดรูปที่ดินก็เหมือนกัน จู่ ๆ เขาจะมายึดวัดเราหมด แล้วเราไปบอกโยมเขาจะยึดวัดแล้ว เราก็ไปรวมกันว่าไม่ได้ไม่ให้ยึดวัด แล้วอย่างนี้จะมาว่าพระไปยุ่งกับการเมือง-การเมืองมายุ่งกับเรา ถ้าการเมืองไม่มายุ่งเราจะออกมาจากวัดให้เหนื่อยทำไม"

          ตอนนั้นนายกฯ บอกว่ามีบ่างช่างยุ

          "แล้วแกก็บอกว่าได้กราบเรียนพระผู้ใหญ่แล้ว อาตมาก็ไปพูดวิทยุรัฐสภา หลวงพ่อพูดว่าที่นายกฯ บอกว่า พ.ร.บ.ทำมา ๒๐ ปีแล้ว ทำมานี่เปิดเผยได้กราบเรียนให้พระผู้ใหญ่ทราบ หลวงพ่อก็บอกพระผู้ใหญ่ทราบที่ไหน ใครเอาข้อมูลนี้ไปบอกนายกฯ อย่างนี้เอาข้อมูลผิด ๆ มาให้นายกฯ พูด ทำให้นายกฯ โกหกประชาชนด้วย หลวงพ่อก็บอกว่านัดวันที่ ๑๘ นะญาติโยมนะ มาประชุมกันนะ มันก็เหมือนเราใช้สื่อรัฐนัดมาชุมนุม แต่เราพูดนิ่ม ๆ "

ดูดเสียงพระ !

          แต่ตอนนี้พระศรีปริยัติโมลีคงจะนัดญาติโยมมาชุมนุมทางวิทยุไม่ได้อีกแล้ว เพราะหลังจากรัฐบาลมีนโยบายเซ็นเซอร์ แม้กระทั่งพระก็ยังโดนดูดเสียง

          หลวงพ่อบอกว่า ที่จริงสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยของกรมประชาสัมพันธ์นั้นไม่ค่อยมีคนพูดแรง "ยกเว้นหลวงพ่อปัญญา แต่พระผู้ใหญ่เขาไม่ถือแล้ว ท่านพูดได้พูดไป แต่พูดบ่อยก็แสลงเหมือนกัน ถ้ารัฐบาลเขาจะถือก็อย่างหลวงพ่อเนี่ย ศูนย์พิทักษ์ฯ เพราะพูดแล้วจะมีมวลชนอยู่ข้างหลัง"

          "วิทยุรัฐสภา หลวงพ่อเคยจัดรายการพูดกับหลวงพ่อต่วนหลายปีแล้ว เดิมชื่อ รายการธรรมะกับการพัฒนาประชาธิปไตย พูดไป ๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นธรรมะกับการเมือง แล้วมาถึงช่วงที่มีปัญหากับทางรัฐบาลเขาก็บอกว่าต่อไปพูด ๒ คนไม่ได้ ต้องเอาเจ้าหน้าที่รัฐสภามาร่วมจัดด้วย ก็มีคนหนึ่งมาช่วยจัด-คอยดึงจีวรหลวงพ่ออยู่เรื่อย หลวงพ่อวันนี้พูดธรรมะนะ พูดเบา ๆ หน่อย คอยกระตุก แล้วเปลี่ยนชื่อให้ใหม่ว่าธรรมะในพระพุทธศาสนา ก็จะมีคนคอยอัดเสียงคอยเช็กว่าจะพูดอะไรพาดพิงนายกฯ หรือเปล่า เขาจะเบรกอยู่เรื่อย ๆ ช่วงมีปัญหา พ.ร.บ.จัดรูปที่ดิน วิทยุต่าง ๆ ที่พระไปเช่า พวกที่เป็นนายหน้าให้เช่ามันก็จะกลัวมาก กลัวเสียประโยชน์ พอพระพูดพาดพิงการเมืองปุ๊บก็จะดูดเสียงเลย"

          "วันศุกร์ที่แล้วพอมีปัญหาเรื่องพระสงฆ์พูดการเมืองกระทั่งหลวงพ่อยังโดนดูดเสียงเลย รายการเสวนาธรรมท่านถามเราตอบ พล ม.๒ คลื่นเอเอ็ม ๙๖๓ พอพูดเรื่องสมเด็จพระสังฆราช บอกว่ารัฐบาลก็พยายามแก้ปัญหาอย่างนี้ ๆ นะ หลายเรื่องเราต้องฟังรัฐบาลก่อน ต้องเคารพในสติปัญญา อย่างเรื่องนี้ก็คิดว่านายกฯ ท่านก็ทำเข้าท่านะ แต่ว่าหลายเรื่องนายกฯ ท่านก็ทำเลยท่าไปบ้าง ตรงเลยท่านี่ดูดเสียงเลย (หัวเราะ) เซ็นเซอร์เลย"

          อะโห แน่ขนาดนี้ ดูดเสียงกระทั่งพระ เป็นแบบนี้หมดเลยหรือ

          "แทบทุกสถานีเลยตอนนี้ พอพูดปุ๊บ หวั่นไหวกันไปหมด ทั้งที่จริง ๆ คงมีเพียงบางรายการที่เขาระมัดระวัง เหมือนอย่างระวังอาจารย์ธีรยุทธ เขาก็กลัวว่าถ้าพระพูดความจริงเรื่อง ๆ เขาก็จะเสียความนิยม"

          บอกว่าอย่างพระภาวนาวิสุทธิคุณจริง ๆ ก็ไม่น่ามีปัญหา

          "หลวงพ่อภาวนาฯ ท่านก็ยกตัวอย่างของท่านไปเรื่อย ๆ ท่านไม่เคยมีประวัติว่าท่านจะคัดค้านอะไร ที่จะไปต่อปากต่อคำอะไร ท่านพูดในหลักการ แล้วมันก็จับแพะชนแกะไปชนกัน แต่ว่าโดยธรรมชาติท่านไม่ใช่องค์ที่จะเป็นปัญหา เห็นท่านก็นิ่มนวลดี นายกฯ ก็ไม่ได้ฟัง พอเขาเอาไมค์มาจ่อปากท่านก็พูดเลย"

          หลวงพ่อศรีปริยัติโมลีบอกว่า การที่พระพูดเรื่องการเมืองถือเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่ใช่ไปพูดให้เลือกพรรคนั้นพรรคนี้ แต่เป็นการพูดการวิจารณ์การเมืองโดยหลักธรรม

          "พระพูดมานานแล้ว พูดทุกรัฐบาล ทำไมพระถึงต้องพูดการเมือง ที่พระต้องพูดการเมือง ที่ต้องพูดและเจาะจงต้องพาดพิง ก็เพราะถ้านายกรัฐมนตรีทำผิดมันหมายถึงความเสื่อมทางการเมืองไม่ใช่ตัวท่านอย่างเดียว ในคำสอนมีว่าถ้าผู้นำนำดีอาณาประชาราษฎร์ก็จะปฏิบัติตาม แล้วดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดวงดาวก็จะโคจรไปอย่างถูกต้อง สิ่งต่าง ๆ หมุนเวียนไปอย่างถูกต้อง ฟ้าฝนก็ถูกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารก็จะอุดมสมบูรณ์ ทำให้คนมีสุขภาพดีแข็งแรง เพราะฉะนั้นผู้นำหรือผู้ปกครองเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประเทศชาติมีความสุขหรือไม่มีความสุข เจริญรุ่งเรืองหรือไม่เจริญรุ่งเรือง ดังนั้นพระจึงมีความรู้สึกว่าผู้นำต้องปฏิบัติธรรมให้มากที่สุด อะไรที่ท่านทำมันหมายถึงอนาคตของประเทศทั้งประเทศ"

          "หลวงพ่อถึงบอกว่าถ้าท่านไม่ได้มาเป็นนายกฯ จ้างให้สักพันก็ไม่หันไปดู จะไม่พูดถึงเลย แต่ถ้าท่านเป็นนายกฯ ท่านต้องรับฟัง เพราะท่านอาสามาจะพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง เพราะท่านกำชะตาชีวิตของคนไว้ ๖๐ กว่าล้าน ประเทศชาติทั้งหมดอยู่กับท่าน ท่านทำถูกทำผิดไม่ใช่ท่านเสียหายคนเดียว เพราะฉะนั้นต้องพูดพาดพิงถึงท่าน ธรรมะถึงจะมีประโยชน์ ไม่ใช่พูดลอย ๆ ธรรมะจะต้องนำมาประยุกต์ใช้ในทุกสังคม"

          "แม้กระทั่งการปฏิรูปการเมืองที่มันไม่สำเร็จ องค์กรอิสระถูกแทรกแซง เลือกตั้งก็เป็นเพียงรูปแบบเพราะมันซื้อเสียงกันตั้งแต่ยังไม่เลือก ส.ส.ก็อ้างว่าเลือกตั้ง ที่จริงมันซื้อกันมาหมด สิ่งที่ทำ ๆ เพราะเราต้องการปฏิรูปการเมืองเพียงด้วยการร่างกฎหมาย หลวงพ่อบอกปฏิรูปด้วยกฎหมายไม่สำเร็จ ปฏิรูปการเมืองต้องใช้เวลาและต้องใช้ศีลธรรม ต้องวางรากฐานทางศีลธรรมลงไปสู่ประชาชนถึงจะสำเร็จ อาจต้องใช้เวลานาน แต่ถ้าเราไม่เริ่มถ้าเราไม่เข้าใจ นักการเมืองก็หน้าเดิม เหล้าเก่าในขวดใหม่ เสธ.หนั่นบอกเหล้าใหม่ในขวดเก่า (หัวเราะ) วนไปวนมา แล้วบอกว่าจะให้การเมืองมันแข็ง ตอนนี้มันแข็งเกินไป ไทยรักไทยแข็งเกินไปแล้ว แก้ไม่ได้ แล้วจะปราบคอรัปชั่นทุจริต มันยิ่งโกงยิ่งกิน คอรัปชั่นเชิงนโยบาบ หนักกว่าเดิม เพราะเราไม่เคยพูดถึงเรื่องศีลธรรมเลย เราพูดแต่เรื่ององค์กรอิสระ เราพูดแต่การตรวจสอบการถ่วงดุล แต่ว่าเขาสามารถใช้อำนาจเงินอำนาจคนเข้าไปแทรกแซงองค์กรอิสระได้ คนไม่มีศีลธรรมมันทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา ถ้าหากเรายิ่งห้ามไม่ให้พระพูดเรื่องนี้ แล้วเมื่อไหร่เราจะปฏิรูปการเมืองได้"

          "พระไม่ได้พูดให้เลือกพรรคไหน พระจะพูดหลักการ ว่าควรจะทำอะไร เรื่องนี้ไม่ควรจะทำ จะไปบอกพระไม่ควรพูดยังไง ก็เรื่องนี้มันเสียหาย อย่างเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์มันเป็นอบายมุข จะพาประเทศชาติไปลงเหวอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นปากทางแห่งความเสื่อม พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ พยายามเลิกเรื่องบ่อนการพนัน ใช้เวลาตั้ง ๑๘๐ ปีกว่าจะเลิกได้ ถ้ามันดีแล้วรัชกาลที่ ๕ จะเลิกทำไม ประเทศอื่นที่เขาเปิด ๆ เขาก็ปวดหัวอยู่เวลานี้ มาบอกว่าเมืองไทยบ้าการพนันก็มาเล่นกันให้เยอะ ๆ เลย มันไม่ใช่วิสัย ถ้าเด็กมันชอบกินทอฟฟี่เรารู้ว่าทอฟฟี่มันไม่ดี รัฐบาลมีหน้าที่คอยห้ามคอยกัน คอยแนะคอยนำคอยพัฒนาเขา อย่างหวยเอามาขึ้นบนดิน ความจริงต้องพยายามบอกประชาชนให้ลดลงไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่เพิ่ม นี่เพิ่มรางวัลอยู่เรื่อย ยิ่งยุยงให้คนเล่นมากขึ้น ทำไม่ถูก พระก็พูดอย่างนี้ ทำได้ไม่ได้ก็เรื่องของรัฐบาล แล้วอย่ามาโกรธพระก็แล้วกัน ต่างคนต่างพูด พระก็พูดด้วยความหวังดี รัฐบาลทำไม่ได้ก็เป็นเรื่องของรัฐบาล การพนันไม่ดีจะให้พระบอกดีหรือเฉย ๆ มันก็ไม่ถูก"

          "หวยใต้ดินเอาขึ้นมาบนดินแล้วก็เอาเงินบางส่วนเอาไปให้การศึกษา เพื่อให้เด็กมาปกป้องว่าหวยใต้ดินขึ้นมาข้างบนแล้วมันดี เพราะเด็กได้ทุนการศึกษา อาตมาว่าทำอย่างนี้ก็ไม่ยุติธรรม เงินที่จะให้ทุนการศึกษาเด็กมีเยอะแยะมาก เงินไปใช้สุรุ่ยสุร่ายอย่างอื่นเยอะแยะ เอเปก ๕-๖ พันล้าน เด็กที่จะเรียนกว่าจะได้ ๑๐๐-๒๐๐ ล้าน ต้องรอให้หวยใต้ดินมันขึ้นมาบนดินก่อน อาตมาว่ามันมีเงื่อนไข มันไม่ตรงไปตรงมา มันเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องให้อยู่แล้วเรื่องการศึกษา เหมือนการรักษาพยาบาล ๓๐ บาท มันเป็นเรื่องรัฐบาลต้องให้อยู่แล้ว ไม่ใช่ไปหาเสียงจนโรงพยาบาลจะล่มเพราะมันทำไม่ได้ ๓๐ บาทได้แต่ยาแก้ปวดไป ถ้าทำให้ตรงไปตรงมาคนจะรักรัฐบาลนี้มาก ไม่ต้องหาเสียงมากหรอก ท่านนายกฯ ถ้าอยากเป็นรัฐบุรุษท่านก็จะได้เป็น ไม่ต้องทำแบบมีแง่มีมุมหรอก หาเสียงก็บอกต่อไปเราจะไม่เอาชนะทางการเมืองเราจะแก้ปัญหาความยากจน แต่ท่านก็ไปดูดใครต่อใครเข้ามาเยอะแยะ-แล้วบอกว่าไม่เอาชนะทางการเมือง คนเขาก็มองเห็นอยู่ ทำอะไรตรงไปตรงมาสิ ให้การเมืองพัฒนา สังคมพัฒนา ให้ประชาชนพัฒนา นายกฯ เป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่ใช่เดี๋ยวก็ใจเย็น เดี๋ยวก็ใจร้อน"

          ยกคำพระมาพูดบ่อยเสียด้วย-เรากระชุ่น

          "ยกคำพระบ่อย ยกมาพูดกับพระด้วยนะ ให้พระยึดมั่นถือมั่น"

          "เราอยากเห็นรัฐบาลเข้มแข็ง อยากให้พัฒนาเรื่องการศึกษา ซึ่งไม่ขยับเลยในรัฐบาลนี้ เรื่องอุตสาหกรรมในฐานะที่ท่านนายกฯ เก่งค้าขายควรจะคิดว่า เราจะปูฐานพัฒนาอุตสาหกรรมบนฐานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ยืนบนขาเรา ไม่ใช่เป็นนายหน้าให้ประเทศนั้นประเทศนี้มาลงทุนที ที่ผ่านมาเราไม่ได้พัฒนาบนฐานของเราเลย ประเทศอื่นที่เล็กกว่าเราที่เคยไล่เลี่ยเราเดี๋ยวนี้เกาหลีพัมนาไปมาก ท่านไม่ต้องหาเสียงมาก แต่ว่าท่านปูฐานไว้ พยายามเคลื่อนตัวเองจากกลุ่มธุรกิจทับซ้อนต่าง ๆ คนจะคิดถึงท่านอีกนานเลย และท่านก็จะอยู่ในหัวใจคนไทยไปนาน แต่ถ้าทำอย่างนี้ถึงท่านจะประสบความสำเร็จ เป็นนายกรัฐมนตรีอีก ๓ ครั้งคนก็ไม่คิดถึง มันไม่ได้นั่งในหัวใจของคนไทย มันคล้าย ๆ คนไทยก็จำต้องรับท่านเป็นนายกฯ แต่ว่าไม่เกิดความซาบซึ้งไม่เกิดความรัก"

อย่าเล่นกับไฟ

          เป็นไปได้ไหมว่าถ้ามีอำนาจอีก ๔ ปี ก็จะต้องมีความพยายามเข้ามาจัดระเบียบพระ คุมพระให้อยู่เหมือนองค์กรอื่น ๆ

          "ก็ไม่รู้ ถ้ามาเล่นกับพระโบราณว่าเป็นไฟ มาเล่นกับพระไม่ใช่ง่าย ถ้าคิดไม่ดีไม่รอบคอบ ท่านบอกว่าพระนี่เป็นอาหุรณยยัคคิ คือทำดีก็ดีมาก ถ้าทำดีกับพระนี่ดีที่สุดเลยเพราะเป็นเนื้อนาบุญ แต่ถ้าทำอะไรไม่ดีกับพระ มันไหม้เอา ตกนรกหมกไหม้เพราะพระ อย่าไปเล่นกับไฟ"

          ก็คงอดไม่ได้เพราะคุมได้หมดเหลือแต่พระ

          "ขึ้นบัญชีไว้แล้วเหรอ (หัวเราะ) ถ้าแกไม่เปลี่ยนแนวก็ลำบาก อย่างอาจารย์ธีรยุทธว่า จะเกิดขบวนการต่อต้านแก ถ้าสภาพึ่งไม่ได้ จะมีขบวนการประชาชนที่จะออกมาต่อต้านแก อาจจะเป็นแบบหลาย ๆ ประเทศที่ผู้นำจะไม่ได้อยู่ในประเทศ"

          แต่ม็อบอะไรก็ไม่น่ากลัวเท่าม็อบพระ เพราะปราบพระปราบยาก

          "ก็ต้องบอกว่าเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกนะที่พระออกมา รัฐบาลอื่น ๆ พระไม่เคยออกมา คือพระนี่ไม่มีครอบครัว เรียกว่าท่านมีหัวใจเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง มาเล่นกับคนที่ไม่มีอะไรเสียนี่ยาก ถ้าพระท่านคิดอย่างเดียวกัน หรือท่านเห็นว่ามันเป็นภัยอันตราย หรือท่านตื่นตัวขึ้นมา มันไม่มีใครที่จะไปเบรกท่านได้ ลำบาก ยิ่งถ้าฝ่ายผู้มีอำนาจใช้อำนาจกดขี่ท่านมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งลำบาก"

          "ท่านนายกฯ ก็รู้ว่าพระไม่ค่อยโปรดท่านเท่าไหร่ มันก็ลำบาก รัฐบาลไหนหรือใครก็ตามที่พระเฉย หรือวางอุเบกขาแล้วก็ลำบาก เป็นชาวพุทธเราก็อยู่ได้ด้วยพระให้พร ถ้าพระไม่ให้พรก็อยู่ยาก ไม่ให้พรแล้วดันไปสวดกุศลาธรรมามันก็ยิ่งอนาคตยิ่งไม่สดใสใหญ่"

          "มันก็ไม่แน่หรอก อาตมาก็บอกว่าถ้าเทอม ๒ ถ้าท่านมาแล้วท่านกลับตัวได้หรือใจเย็น ๆ อย่างที่ท่านกำลังเป็นอยู่ ก็อาจจะดีขึ้น พระเองก็อภัยอยู่แล้ว ถ้าหากว่าท่านยังไปโด่งมาก ๆ ต่อไปมันจะไม่เล็ก ๆ แล้ว เท่าที่เป็นมาพระก็เริ่มพัฒนา พระมีความรู้สึกว่ารัฐบาลไม่ค่อยสนับสนุนพระพุทธศาสนา ศีลธรรมในโรงเรียนพระอยากจะเข้าไปสอน เดี๋ยวนี้ได้ข่าวว่าบางโรงเรียนก็ไม่ให้สอน เมื่อคืนก่อนพระโทร.มาบอกว่าตอนนี้หลักสูตรใหม่ไม่มีแล้ววิชาพุทธศาสนา มีแต่วิชาสังคมศึกษา พระเริ่มรู้สึกว่าพยายามจะผลักดันหลายอย่างก็ผลักดันไม่ได้เพราะนโยบายของรัฐ หลายเรื่อง กระทั่งมาถึงพระพูดเรื่องการเมือง"

          "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเงิน ๗๒ ล้าน มาเพื่อเป็นทุนเรื่องการเผยแผ่ ความจริงรัฐบาลน่าจะถือว่าเงินสวรรค์เลยก็ได้ ควรจะถือให้เป็นเงินนำร่องแล้วรัฐบาลก็ตั้งกองทุนอะไรขึ้นมา ต่อไปก็มีรายการวิทยุโทรทัศน์ ปัจจุบันพระก็ลำบากต้องไปเช่าสถานี"

          หลวงพ่ออธิบายว่าปัจจุบันพระที่จัดรายการวิทยุ เฉพาะในกรุงเทพฯ ปริมณฑลที่เคยลงทะเบียนกันไว้ก็มีร่วม ๆ ๒๐๐ รูป ซึ่งก็ต้องเช่าเวลากับนายทุนเหมือนนักจัดรายการทั่วไป โดยอาศัยบอกญาติโยมอุปถัมภ์ช่วยหาสปอนเซอร์ เรื่องนี้วิษณุ เครืองาม เคยบอกว่าจะให้งบประมาณมาตั้งมูลนิธิ แต่ยังตั้งไม่ได้ สุดท้ายก็จะให้เรี่ยไรกันเอง พระจึงยังเคว้งคว้างอยู่

          พระศรีปริยัติโมลีสรุปทิ้งท้ายว่า ผู้ปกครองที่ดีไม่ควรมีปัญหากับพระ แต่ควรเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรมมากกว่า

          "ในคอนเซ็ปต์ของผู้ปกครองชาวพุทธมันมีอยู่ข้อหนึ่งว่าจะต้องไปฟังธรรม ไปถามปัญหาว่าอะไรคือความดี อะไรคือความชั่ว อะไรเป็นอกุศล ผู้ปกครองชาวพุทธที่เป็นพระจักรพรรดิหรือพระราชาที่ทรงทศพิธราชธรรมมีวัตรข้อหนึ่งที่ต้องทำ พระจะชื่นใจมากถ้านายกฯ หรือผู้นำของประเทศมาวัด วันสำคัญเห็นนายกฯ มาฟังธรรมมาเวียนเทียนเข้าวัดฟังธรรม"

          แต่นี่ไม่เคยเห็น "วันวิสาขะเห็นเขาว่ามาครั้งหนึ่งมั้ง แต่อาตมาไม่อยู่ ไปต่างประเทศ เลยไม่เห็น" คอยดูวันอาสาฬหบูชากับวันเข้าพรรษานี้อีกที ว่าคนไปทัวร์นอนวัดจะเข้าวัดหรือเปล่า

          "พระพูด-จะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าเราเป็นชาวพุทธ อยู่ในพระพุทธศาสนาต้องโมทนาสาธุกันนะ เราเป็นชาวบ้านฟังสิว่าท่านพูดยังไง ไม่ใช่โผล่ออกมา-ต้องทิ้งจีวร มันไม่ใช่ ปากอย่างนี้ไม่ใช่ปากผู้นำระดับประเทศ ปากผู้นำมันต้องกลั่นกรอง ละเมียดละไม ผู้นำต้องบอกว่าขอกราบที่ท่านมาเทศน์มาโปรด กระผมเองก็ไม่มีเวลาไปฟังธรรม ไม่ใช่ไปสอนพระ ถามว่าอ่านหนังสือธรรมมะรู้คำพระกี่ตัว ไล่พระไปอ่านพระไตรปิฎก มันไม่ใช่วิสัยของชาวพุทธ"

          แต่น่าสังเกตว่าท่านผู้นำพยายามจะสร้างมาตรฐานใหม่ ให้ตัวเองเป็นศูนย์กลางทุกอย่างทั้งด้านความรู้ ความเชื่อ หรือศีลธรรม

          "มาตรฐานศีลธรรมใหม่หรือ มันไม่ได้หรอก มันไม่ใช่ทางรอด แนวความคิดอย่างท่านนายกฯ นำไปสู่การเอารัดเอาเปรียบ เอาเงินเป็นใหญ่ ไม่มองคนเป็นพี่เป็นน้อง มองเป็นลูกค้าหมด แล้วท่านก็ใหญ่ในบริษัทชินฯ มาแล้ว สั่งใครต่อใคร ท่านก็เผลอลืมตัวว่าจะสั่งคนในประเทศได้หมด คณะรัฐมนตีท่านก็สอนหมด สั่งได้"

          แล้วจะมาสั่งพระ-ว่างั้นเถอะ หลวงพ่อฝากแง่คิดให้อีกว่า ที่ไปเอาคำของท่านพุทธทาสมาว่า "ไม่ยึดมั่นถือมั่น" นั้น ต้องเข้าใจด้วยว่าคนที่จะปฏิบัติเช่นนั้นได้ต้องดำรงตนอยู่ในศีลในธรรม ทำบุญทำทาน บำเพ็ญจิตใจอยู่สม่ำเสมอ ท่านพุทธทาสปฏิบัติธรรมมาหลายสิบปี จึงบรรลุถึงคำว่า "ไม่ยึดมั่นถือมั่น" นี่กระทั่งเข้าวัดทำบุญยังไม่ค่อยเห็น กลับจะมาสอนพระว่าอย่ายึดมั่นถือมั่น พูดได้อย่างไร...

หน้าแรก | กลุ่มเสขิยธรรม | ความเคลื่อนไหว | ประเด็นร้อน | ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
> นักบวชกับสังคมร่วมสมัย | จดหมายข่าวเสขิยธรรม | รวมเว็บน่าสนใจ | แผนผังไซต์
เสขิยธรรม https://skyd.org
สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน

กลุ่มเสขิยธรรม ๑๒๔ ซอยวัดนพคุณ ถนนสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพฯ ๑๐๖๐๐
โทร. ๐๒-๘๖๓๑๑๑๘, ๐๖-๗๕๗๕๑๕๖ โทรสาร ๐๒-๔๓๗๙๔๔๕
... e-mail :