เสขิยธรรม -
ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
หน้าแรก | สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน | แผนผังไซต์

แก้ "สมองเสื่อม-หัวใจเสีย"

"ทีมข่าวศาสนา" สกู๊ปศาสนา
นสพ.ไทยรัฐ ปีที่ ๕๕ ฉบับที่ ๑๗๑๓๓ วันเสาร์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๗


          “เยาวชนไทยคือความหวังของ ประเทศ ชาติ หากเยาวชนไทย พิกลพิการ ไปเสียแล้ว ประเทศชาติ ในอนาคต จะประสบปัญหา ยุ่งยากแน่นอน”

          พระราชดำรัสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย ทุกหมู่เหล่าเมื่อวันที่ ๔ ธ.ค. ๒๕๔๗ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา

          ชัดเจนถึงความห่วงใยที่ทรงมีต่อประชาชน ทุกหมู่เหล่า โดยเฉพาะปัญหาของเด็กและ เยาวชนปัจจุบัน ทั้ง ทรงชี้ถึงต้นตอของปัญหา ที่นำเยาวชนไทยไปสู่สภาพ “สมองเสื่อม หัวใจเสีย” ที่มีทั้ง การสูบบุหรี่ การเสพยา และเข้าเธคต่างๆ เป็นประจำ

          นี่คือปัญหาที่คนไทยทุกคน ทั้งภาค เอกชน สังคม ประชาชน สำคัญที่สุดคือ ภาครัฐ โดยเฉพาะรัฐบาลต้องน้อมรับพระราชดำรัส ใส่เกล้าฯ และช่วยกันหาทางแก้ไข โดยเร็วที่สุด

          คณะสงฆ์ ซึ่งเปรียบเสมือนสถาบันที่ทำหน้าที่ ชี้แนะ อบรม และสั่งสอน ด้านศีลธรรมและ จริยธรรมให้กับสังคม ทั้งยังมีหน้าที่เชื่อมโยงกับเยาวชน นับเป็นหัวใจสำคัญเช่นกัน ในการจะช่วยกล่อมเกลา บ่มเพาะให้เยาวชนเติบโตขึ้นมาเป็น “คนดี” ของสังคม

          “คนดี” ในที่นี้หมายถึงต้อง มั่นคงสมบูรณ์ ทั้งด้านจิตใจและ สติปัญญา

          แต่สังคมปัจจุบันกลับให้ความสำคัญ โดยเน้นเฉพาะ การพัฒนาด้านไอคิว ซึ่งหมายถึงความ สามารถในการคิด วิเคราะห์ ทำความเข้าใจ สามารถจดจำ สิ่งต่างๆ และสามารถนำมาประเมินค่าได้ แต่กลับมองข้ามความสำคัญของ การพัฒนาด้านอีคิว หรือที่เรียกว่า ความฉลาดทางอารมณ์ ที่หมายถึง ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ มีจิตใจที่มั่นคง มองโลกในแง่ดี รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ มีเหตุผล มีสติ สามารถควบคุมตัวเอง มีความสามารถในการรับรู้ถึงความต้องการของคนอื่น และรู้จักมารยาทของสังคม กลับมีน้อยมากใน กลุ่มเยาวชน

          และผลพวงมาจากการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้อง เพราะมีการพัฒนาที่ไม่สมดุล จึงส่งผลให้เด็กไทยยุคนี้ส่วนใหญ่มีปัญหาทางด้านจิตใจและอารมณ์

          “หัวใจเสื่อม - สมองเสีย”

          ที่ผ่านมา คณะสงฆ์ ก็มีความพยายามที่จะสร้างแบบ แผนดึงเยาวชนรุ่นใหม่ที่ “ห่างวัด-ห่างพระ-ห่างธรรมะ” ขึ้นมา ให้เป็น เยาวชนวิถีพุทธ โดยร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ นำร่อง “โรงเรียนวิถีพุทธ” ซึ่งมีการนำหลักสูตรการเรียนการสอนวิชา พระพุทธศาสนาเข้าไปให้นักเรียนเรียน

          แม้โครงการ นำ ร่อง โรงเรียนวิถีพุทธ จะได้ผลระดับหนึ่ง โดยมีหลายโรงเรียนขานรับ ความเป็นวิถีพุทธ แต่ต้องถือว่ายังไม่สัมฤทธิ์ผล เนื่องจากวิชาพระพุทธศาสนา ไม่ได้เป็นวิชาบังคับที่มีหน่วยกิต กล่าวคือ จะเรียนก็ได้ ไม่เรียนก็ได้

          ขณะที่กฎกระทรวงว่าด้วย การจัดการศึกษา ขั้นพื้นฐานของคณะสงฆ์ ที่เรียกร้องให้มีการเทียบ โอนระหว่าง หลักสูตรนักธรรมหรือ เปรียญธรรมกับ โรงเรียนสามัญศึกษาทั่วไป ก็ถูกดองเค็ม จากภาครัฐมายาวนานกว่า ๓ ปี และจนถึงวันนี้ก็ยังไม่คลอด ทำให้การศึกษาของคณะสงฆ์ ยังเป็นการศึกษา ชั้น ๒ ต่อไป

          พระเทพภาวนาวิกรม หรือ “เจ้าคุณธงชัย” ผช.เจ้าอาวาสวัดไตรมิตร ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการ สาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม (มส.) ซึ่งเป็นผู้ผลักดันขับเคลื่อน โครงการเพชรยอดมงกุฎ ส่งเสริมเยาวชนคนเก่งทั้งด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย มาตลอดค่อนชีวิตเพื่อให้เด็กที่เก่งวิชาการได้มาประชันความรู้กัน กล่าวว่า “ถึงเวลาแล้วที่จะต้องกลับมาหาพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง เพื่อให้เยาวชนไทยสมบูรณ์พร้อมทั้งด้านวิชาการและจิตใจ โดยพระพุทธศาสนา ที่จะช่วยในเรื่องของจิตใจ ศีลธรรม สมาธิและทำให้เกิดปัญญา ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข สิ่งมอมเมา มากมายทั้งบุหรี่ เหล้า ยาเสพติด สื่อลามก เป็นต้น ซึ่งเป็นต้นเหตุของภาวะหัวใจเสื่อม สมองเสีย

          คณะสงฆ์ได้อัญเชิญพระราชดำรัสไว้เหนือเกล้าฯ โดยเอาโจทย์ที่ตรัสว่า เด็กไทยหัวใจเสื่อม สมองเสีย เป็นตัวตั้ง แล้วนำเอาเรื่องของ “บวร” หรือ “บ้าน-วัด-โรงเรียน” มาปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม”

          นั่นคือให้ พระสงฆ์ในฐานะที่เป็น ศูนย์กลางของชุมชน เน้นย้ำกับผู้ปกครองที่เข้าวัด ว่า ต้องทำให้ บ้าน ที่พักอาศัยหรือครอบครัว ก็ได้ ให้ความรักความอบอุ่น ผูกพันกับเด็กให้มากที่สุด เพราะบ้านแม้จะเป็นหน่วย หรือสถาบันเล็กที่สุดในโครงสร้าง ของสังคม แต่เป็น จุดเริ่มต้นของสังคมใหญ่ๆ เป็นฟันเฟืองชิ้นเล็กที่มีความหมาย สำคัญมาก

          ขณะที่ วัด เปรียบเสมือน ศูนย์กลางทางจิตใจของคนไทย มาแต่ครั้งอดีต เป็นสถาบันที่ ยึดเหนี่ยวจิตใจ อบรมสั่งสอนคน ในชุมชนรอบๆ วัดให้ประพฤติถูก ทำนอง คลองธรรม ทั้งวัดนั้นนอกจากจะเป็นสถานที่ ประกอบศาสนกิจของพระสงฆ์แล้ว ชาวบ้าน ยังใช้วัดเป็นสถานที่ให้ คนในชุมชนพบปะกัน ใครเดือดเนื้อร้อนใจก็มาปรึกษากัน และได้ คำสอนดีๆ จากพระสงฆ์ ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนในการ ถ่ายทอดหลัก ธรรมคำสอนของ พระพุทธองค์ ให้สามารถนำไปใช้ดับทุกข์ร้อนต่างๆ กลับไปบ้านมาก มาย โดยคำสอนเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มุ่งเน้นให้คนประพฤติและปฏิบัติดี

          ส่วน โรงเรียน จะต้องให้ ความรู้ทางวิชาการอย่างเต็มที่ รวมถึงทำหน้าที่ อบรม สั่งสอน ให้ลูกศิษย์เป็นคนดีของสังคม

          เมื่อใดที่ วัด-บ้าน-โรงเรียน สามารถสอดประสานกันได้ ความหวังที่จะให้ “บวร” เป็นจุดสกัดภัยมืดที่ค่อยๆ ซึมลึกกัดกร่อนจิตวิญญาณของเยาวชนไทย ก็จะบังเกิดขึ้น

          ขณะที่ พระพรหมเมธี วัดเทพศิรินทราวาส กรรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะเลขาธิการคณะธรรมยุต กล่าวเสริมว่า “การทำให้ “บวร” ประสานกันอย่างลงตัว ไม่ได้เป็นเรื่องยากหรือต้องลงทุนอะไรมาก เพียงแต่ปัจจุบันสังคมไทยลืมมองความอบอุ่น แบบอดีต และความสัมพันธ์ ระหว่างบ้าน วัด โรงเรียน ว่า ผูกพันกันมานานตั้งแต่สังคมไทย ยังไม่มีโรงเรียน วัดต้องรับภาระในการให้ความรู้กับคนในชุมชน ควบคู่ไปกับการสอน ให้ทำความดี ดังนั้นต้อง กระตุ้นเตือนให้คนกลับมาพัฒนา โดยใส่ใจในฟันเฟืองเล็กๆ ทางสังคม ที่กำลังละเลยไปมากทั้งบ้าน วัด โรงเรียน เพื่อให้เกิดความผูกพันกันในสังคมแบบ เช่นที่เคยมีมาในอดีต เพื่อให้ประเทศ ชาติเติบโตอย่างมีรากฐาน อันจะทำให้ประเทศเข้มแข็งและมั่นคงสืบไป”

          “ขณะนี้คณะสงฆ์ทุกส่วน ได้มีการหารือกัน โดยอาตมาและพระพรหมเมธี จะเริ่มนำร่องให้ นักเรียนกลับมาสู่ วิชาพระพุทธศาสนา ด้วยการจัดสอบแข่งขัน วิชาพระพุทธศาสนาในวันที่ ๑๘-๑๙ ธ.ค.นี้ ที่โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ ซึ่งน่ายินดีมีโรงเรียนจากทั่วประเทศ ส่งนักเรียนตั้งแต่ชั้น ป.๕ ถึง ม.๖ เข้าร่วมมากมาย ทำให้เห็นอนาคตว่า นักเรียนและโรงเรียน วิถีพุทธ ไม่มีวันหมดไปแน่ๆ ที่สำคัญการที่พระพรหมเมธี ซึ่งเป็นเลขาธิการคณะธรรมยุต เข้ามาลุยงานนี้ ชี้ให้เห็นว่าระหว่างพระสงฆ์ มหานิกายกับธรรมยุต ไม่มีปัญหาใดๆ” พระพรหมเมธี กล่าวในอีกตอนหนึ่ง

          สำหรับทุกวัดที่มีโรงเรียนก็ควรต้องกลับไปเน้น เอาใจใส่วิชาพระพุทธศาสนา ในโรงเรียนมากขึ้น

          ทีมข่าวศาสนา มองว่าหากคณะสงฆ์จะกลับ ไปสู่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ทั้งดำเนินการเรื่องของ “บวร” ให้เป็นรูปธรรมทุกส่วนที่เกี่ยวข้องควร ที่จะให้การสนับสนุนกันแบบเต็มร้อย

          เราอยากเห็นสังคมไทยเต็มไปด้วยคนที่มีความรู้พร้อมทั้งมีศีลธรรม มีจิตใจดีงาม พร้อมจะเอื้อเฟื้อเผยแผ่ความเจริญของตัวให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม

          ความเจริญทางวัตถุ ที่มุ่งเน้นเฉพาะการแข่งขัน แก่งแย่งผลประโยชน์ จากมันสมองที่ชาญฉลาด แต่กลับไร้ซึ่งจิตสำนึกที่ดี คือ

          สัญญาณอันตราย ของความล่มสลาย!!!.. .

หน้าแรก | กลุ่มเสขิยธรรม | ความเคลื่อนไหว | ประเด็นร้อน | > ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
นักบวชกับสังคมร่วมสมัย | จดหมายข่าวเสขิยธรรม | รวมเว็บน่าสนใจ | แผนผังไซต์
เสขิยธรรม skyd.org
สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน

กลุ่มเสขิยธรรม ภายใต้มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ ๑๔/๖๓ หมู่บ้านสวยริมธาร ๒ ซอย ๕
ถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก แขวง/เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ ๑๐๑๗๐
โทร. ๐๒-๘๐๐-๖๕๒๖ ถึง ๘, ๐๖-๗๕๗-๕๑๕๖ โทรสาร ๐๒-๘๐๐-๖๕๔๙
... e-mail :