เสขิยธรรม -
ประเด็นร้อน
หน้าแรก | สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน | แผนผังไซต์

โอบล้อมความเจ็บปวดของพวกเรา
ภายหลังเกิดเหตุสึนามิ

ธรรมเทศนาโดยท่านติช นัท ฮันห์ ณ หมู่บ้าน Plum Village เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๗

วาสนา ชินวรากร แปล
(ต้นฉบับภาษาอังกฤษ : EMBRACING OUR PAIN IN THE AFTERMATH OF THE TSUNAMI)

          วันนี้เป็นวันที่ ๓๐ ธันวาคม แห่งปี พ.ศ. ๒๕๔๗ พวกเราอยู่ในอารามเมฆธรรมแห่ง Upper Hamlet ในจุนทะสูตรมีเรื่องราวของภิกษุรูปหนึ่งซึ่งนำข่าวนิพพานของพระสารีบุตรผู้น่าเลื่อมใสมาทูลพระพุทธเจ้า ภิกษุรูปนี้มีนามว่าจุนทะ ในกาลนั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ เมืองไพศาลี ชายฝั่งทิศเหนือของแม่น้ำคงคา พระสารีบุตรนิพพานที่บ้านเกิดของท่าน ทันทีที่พิธีฌาปนกิจเสร็จสิ้นลง พระจุนทะก็นำอัฐิอาจารย์ของท่านมามอบแก่พระพุทธเจ้า อัฐินั้นบรรจุอยู่ในบาตร ท่านกล่าวว่า “นี่คืออัฐิอาจารย์ของข้าพระพุทธเจ้า ท่านเพิ่งจะละสังขารไป” ก่อนที่ภิกษุรูปนี้จะพบพระพุทธเจ้า ท่านได้พบกับพระอานนท์ เมื่อพระจุนทะชี้ไปที่เถ้าอัฐิในบาตรของท่านเพื่อแจ้งแก่พระอานนท์ และกล่าวว่านั่นคืออัฐิของพระสารีบุตร แขนขาของพระอานนท์ก็เริ่มสั่น และไม่อาจยืนได้อย่างมั่นคงอีกต่อไป จากนั้นท่านก็นำพระจุนทะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อทูลแจ้งข่าว สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาผู้ตรัสรู้แล้ว แต่ก็ดังที่เราทราบ พระองค์ก็ทรงเป็นมนุษย์และเราก็อาจจินตนาการได้ว่า เมื่อพระองค์ทรงทราบข่าวนิพพานของพระสาวกพระองค์ต้องทรงโศกเศร้าเป็นแน่แท้ พระหทัยของพระพุทธเจ้ามิใช่ศิลา อย่างไรก็ตามความเศร้าโศกของพระองค์ก็มิได้ทำให้ทรงสูญสิ้นพลังไปทั้งหมด หรือมิอาจประทับยืนได้อย่างที่พระอานนท์เป็น พระพุทธเจ้ามิเศร้าโศกอย่างไรได้ ในเมื่อพระอัครสาวกเพิ่งนิพพาน พระอานนท์ทูลพระพุทธเจ้าว่า “พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้ยินข่าวว่าภราดรนิพพานแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าก็สูญสิ้นพลังไปทั้งหมดจนมิอาจยืนบนพื้นได้อย่างมั่นคง” พระพุทธเจ้าจึงปลอบโยนพระอานนท์

          เมื่อมาอยู่ที่ Upper Hamlet ฉันฝันว่าพระธรรมาจารย์สองรูป ผู้ซึ่งไปเทศนาที่สแกนดิเนเวียแล้วประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เมื่อฉันได้ยินข่าวนี้ก็หลั่งน้ำตา พระปาพ ฮู อยู่กับฉันในห้องเวลานั้น ในความฝันท่านดูเยาว์วัยกว่าที่เราเห็นตอนนี้ ฉันสวมกอดปาพ ฮู แล้วเราก็ร่ำไห้ด้วยกัน เมื่อตื่นขึ้นฉันก็ดีใจเป็นอันมากที่รู้ว่าพระธรรมาจารย์ทั้งสองนั้นยังมีชีวิตอยู่จริง อยู่ที่ว่าฉันดีใจ แต่ความฝันก็ยังคงเหลือรอยประทับแห่งความโศก ซึ่งคงอยู่กับฉันอย่างนั้นอีกหลายวัน

          เมื่อไม่กี่วันก่อน ฉันได้สวดภาวนาให้แก่ผู้เคราะห์ร้ายคลื่นยักษ์และแผ่นดินไหวในเอเชียอาคเนย์ ฉันได้เห็นว่าโชคดีเพียงใดที่ฉันมีสหายธรรมภราดรในความฝันที่จะร่วมสวมกอดและร้องไห้ด้วย ฉันมีบุคคลอันเป็นที่รักที่จะร่วมแบ่งปันความเจ็บปวดและความเศร้าโศก ภัยพิบัติเมื่อเร็วๆ นี้ผู้คนได้สูญเสียครอบครัวของพวกเขาทั้งครอบครัว พวกเขาต้องทนเจ็บปวดตามลำพังโดยไม่มีใครร่วมแบ่งปันด้วย ผู้คนจำนวนมากได้สูญเสียครอบครัวทั้งครอบครัวจากภัยพิบัติคลื่นยักษ์ที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม จำนวนผู้เสียชีวิตในอินโดนีเซีย ศรีลังกา อินเดีย และไทย ไปจนถึงชายแดนพม่า นับได้ ๑๕๕,๐๐๐ คนแล้ว ตัวเลขจำนวนนี้ขึ้นมาเมื่อสองสามวันนี้เอง บางครอบครัวถูกกวาดไปหมด คลื่นลูกหนึ่งได้ซัดเอาเด็กสองขวบคนหนึ่งขึ้นไปยังที่สูง เด็กคนนี้ยังคงมีชีวิตรอดและได้รับการช่วยชีวิต แต่พ่อแม่ของเขาและญาติทั้งหมดล้วนเสียชีวิต แผ่นดินไหวใต้ทะเลนี้เรียกว่า “สึนามิ” คลื่นยักษ์ซัดเข้าหาฝั่งและกวาดเอาหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งไปหมด

          ในช่วงต้นประมาณกันว่ามีผู้เสียชีวิตราว ๑๐,๐๐๐ คน แต่กลับพบศพมากขึ้นทุกขณะ จำนวนผู้เสียชีวิตในขณะเขียนนี้อยู่ที่ ๑๕๕,๐๐๐ คน ผู้รอดชีวิตชาวยุโรปได้กลับบ้านแล้วรายงานว่า สภาพของมนุษย์คนหนึ่งภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ช่างไร้กำลังเสียยิ่งกว่ามดหรือยุงสักตัวเสียอีก เมื่อเปรียบกับคลื่นยักษ์แล้วมนุษย์คนหนึ่งนั้นกระจ้อยร่อยไร้ความหมาย คลื่นสามารถสูงได้ถึง ๑๐ เมตร มันม้วนตัวขึ้นเหนือพื้นโลกแล้วกวาดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในทางของมันกลืนหายลงทะเล ตอนนี้ทะเลก็ได้นำซากศพจำนวนมากมายกลับคืนสู่พื้นโลก สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือการฝังศพในหลุมที่ขุดทีละ ๕๐, ๑๐๐ หรือไม่ก็ ๒๐๐ ศพ นอกจากนี้ยังมีความกลัวอย่างมหันต์อื่นๆ คือซากศพที่ยังไม่เน่าสลายนั้นเป็นสาเหตุของโรคติดเชื้อ เช่น ไข้ไทฟอยด์ที่จะแพร่ไปเป็นโรคระบาด เป็นไปได้ว่าผู้คนนับล้านอาจเสียชีวิตเพราะภัยพิบัติ ประเทศทุกประเทศในยุโรป และอเมริกาได้ส่งเครื่องบินขนส่งคนงานและสิ่งของที่ใช้ในการบรรเทาทุกข์ เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งผองกำลังทุกข์โศก ชาวยุโรปนับพันเสียชีวิตและมีอีกจำนวนมากที่เรายังไม่ทราบข่าว คู่ฮันนีมูนซึ่งไปที่ส่วนนั้นของโลกยังไม่ได้โทรศัพท์กลับบ้านนับแต่เกิดภัยพิบัติ หลายวันมานี้ฉันได้จุดธูปบูชาและเอ่ยนามพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกวัน เพื่อส่งพลังไปยังผู้เคราะห์ร้ายและครอบครัวของพวกเขา โลกทั้งใบถูกสั่นสะเทือนด้วยภัยพิบัติในเอเชียอาคเนย์ อินโดนีเซียและศรีลังกาบอบช้ำมากที่สุด คลื่นยักษ์เข้าถึงฝั่งแอฟริกาแล้ว ผู้คนนับร้อยที่ริมฝั่งแอฟริกาก็เสียชีวิตไป

          ถึงแม้ว่าเราจะนั่งอยู่ที่นี่ แต่ใจและกายส่วนหนึ่งของพวกเราได้ตายไปด้วย ผู้คนจำนวนมากจากประเทศทางยุโรปเหนือเช่น สวีเดน ได้ไปเที่ยววันหยุดในบริเวณนี้เพื่อแสวงหาดินแดนอบอุ่นที่เงียบสงบ ไร้มลพิษ เพื่อที่จะหยุดพักงาน แต่แล้วในอีกชั่วขณะหนึ่งสึนามิก็พรากเอาชีวิตพวกเขาไป นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าหากภูมิภาคเอเชียอาคเนย์มีระบบเตือนภัย ผู้คนจำนวนหนึ่งจะสามารถเลี่ยงหายนะได้ ระบบเตือนภัยสามารถให้เวลาชาวบ้านอพยพออกจากบริเวณชายฝั่งได้ อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีระบบเตือนภัย แต่คนธรรมดาสามัญจะได้รับการเตือนภัยได้อย่างไรหากว่าคนเหล่านั้นไม่มีวิทยุ โทรทัศน์ หากว่าคนเหล่านั้นทำงานในทะเล บนฝั่ง หรือว่าเป็นเด็ก?

          ชาวตะวันตกที่เสียชีวิตจากสึนามิในครั้งนี้ส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยว ผู้ซึ่งไปที่นั่นเพื่อหนีฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ แต่ส่วนหนึ่งที่ตายไปที่นั่นเพื่อทำงานการกุศล พวกเขาไม่ได้ไปที่นั่นในวันหยุด แต่ไปเพื่อหยิบยื่นความช่วยเหลือ เหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งนี้กระตุ้นเราให้มองอย่างลึกซึ้งและพิจารณาสภาวะของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ในคริสตศาสนาิ คำถามที่ว่าเหตุใดจึงมีความทุกข์ชนิดนี้เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมานานแสนนาน เหตุใดพระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกพร้อมกับสรรพชีวิตทั้งปวงจึงทรงยินยอมให้ความทุกข์นี้เกิดขึ้น? นี่เป็นคำถามหนึ่งของนักเทววิทยาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ในพุทธศาสนา เราพูดถึงเหตุและผล เรากล่าวว่าเราต้องรับผลการกระทำของเรา แต่ทว่าผู้คนยังคงถามอีกว่า “เด็ก ๓ หรือ ๕ ขวบทำบาปอะไร พวกเขาถึงได้สูญเสียพ่อแม่หรือชีวิตของตัวเองเช่นนี้ได้” เราจะอธิบายกฉแห่งกรรมได้อย่างไร? ไม่ว่าเราจะเป็นคริสตศาสนิกชนหรือพุทธศาสนิกชนก็ตาม หายนะนี้ก็ตั้งคำถามแก่พวกเรา ผู้เชื่อในคริสตศาสนาอาจถามว่า พระเจ้าผู้ทรงรักมนุษยชาติจะยินยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? พุทธศาสนิกชนอาจถามว่า “ผู้คนที่มาด้วยเจตน์จำนงที่จะช่วยเหลือผู้อื่นและทำงานการกุศล หรือว่าเด็กบริสุทธิ์ได้กระทำสิ่งชั่วร้ายอันใดจึงต้องตายแบบนี้?” บางคนกล่าวว่าถึงแม้ในช่วงชีวิตนี้ พวกเขาไม่ได้ก่ออาชญากรรม แต่ก็อาจที่ได้กระทำในอดีตชาติ เราพยายามหาคำตอบกันดังนี้

          กวีชาวฝรั่งเศส วิคเตอร์ ฮูโก ในช่วงอายุสี่สิบกว่าปีได้สูญเสียบุตรสาวอายุราวยี่สิบปี ชื่อของเธอคือ Leopoldine เขาทุกข์โศกอย่างแสนสาหัส แล้วถามพระผู้เป็นเจ้าว่าเหตุใดฤาสิ่งนี้จึงเกิดกับเธอ เธอก็จมน้ำเช่นกัน ดอกไม้แรกแย้มอ่อนละมุนถูกคร่าชีวิตไปโดยคลื่นลูกหนึ่ง เมื่อลูกสาวได้เสียชีวิต เขาก็กลับไปยังเมือง Villequier อันเป็นบ้านเกิด ในบทกวีชื่อ “les Villequier” เขารจนาว่า “มนุษยชาติเห็นเพียงความจริงด้านหนึ่ง ขณะที่อีกด้านหนึ่งตกอยู่ในความมืดอันลึกลับน่าสะพรึงกลัว มนุษยชาติทนรับแอกโดยไม่รู้ว่าทำไม ทั้งหมดที่เขาเห็นนั้นคือชีวิตอันแสนสั้น เรื่องไร้ค่า และเรื่องชั่วครั้งชั่วคราว” วิคเตอร์ ฮูโก ขานร้องต่อพระเจ้าว่า “ข้าฯมาหาพระองค์ พระผู้เป็นเจ้า พระบิดาผู้ที่เราจักต้องศรัทธา ด้วยจิตสงบ ข้าฯนำเอาชิ้นส่วนของดวงใจข้าฯอันเคยรุ่งโรจน์ซึ่งพระองค์ทรงทำแตกสลาย ข้าฯยอมรับว่ามีเพียงพระองค์เท่านั้นที่รู้ในสิ่งที่ทรงกระทำ และมนุษยชาตินั้นก็เป็นเพียงต้นอ้อที่สั่นไหวในสายลมเท่านั้น”

          มนุษย์นั้นไร้กำลัง มนุษย์นั้นไร้ค่า นั่นคือสภาวะของพวกเรา มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ ส่วนพวกเราซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้นไม่ได้มีความเข้าใจในสิ่งที่ทรงกระทำ นักเทววิทยาได้พยายามให้คำอธิบาย บางคนกล่าวว่าหากเราไม่ประสบทุกข์เรา ก็ไม่อาจเติบโต ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงต้องการให้พวกเราเศร้าโศกและประสบทุกข์ เพื่อให้เรามีโอกาสเติบโต บางคนสามารถยอมรับในเหตุผลทำนองนี้ได้ แต่บางคนก็ไม่สามารถ

          ในหมู่บ้านพลัม พวกเราได้ศึกษาถึงการเกิดใหม่และสังสารวัฏ เรารู้ว่าในศาสนาพุทธที่รู้จักกันนั้น การสอนเรื่องการกลับมาเกิดใหม่มีพื้นฐานอยู่บนความเชื่อในเรื่องอัตตาและจิตวิญญาณ กล่าวกันว่าเมื่อมีใครตาย เขาจะเกิดใหม่เป็นอีกคนหนึ่งหรือไม่ก็เป็นสัตว์ตัวหนึ่ง เชื่อกันว่าชีวิตเรายังคงดำเนินต่อไป เมื่อเราตายเรามิได้ยุติการมีอยู่ของเราเสียทีเดียว ชีวิตเรายังคงดำเนินต่อไปในรูปอื่น และนั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่าวัฏจักรของการเกิดและตาย แต่ทว่าในคำสอนพุทธศาสนาขั้นลึกซึ้ง เราได้เรียนรู้ว่าเราต้องทำความเข้าใจเรื่องการกลับมาเกิดใหม่ ด้วยปัญญาแห่งอนัตตา พื้นฐานของคำสอนศาสนาพุทธคือการสอนเรื่องอนัตตา หากเราเข้าใจการเกิดใหม่และเรื่องเหตุ-ผลของการกระทำในแง่ของอัตตา ก็เท่ากับเรายังไม่ได้สัมผัสคำสอนของศาสนาพุทธขั้นลึกซึ้งที่สุด เช่นกัน เรื่องความชั่วร้ายก็ต้องถูกแก้ปัญหาด้วยปัญญาแห่งอนัตตา เมื่อผู้คนถามว่า “เหตุใดฉันจึงต้องทนทุกข์และเคราะห์ร้าย ในขณะที่คนอื่นอยู่กันอย่างไร้กังวล เหตุใดเด็กบริสุทธิ์คนหนึ่งจึงถูกบีบให้ต้องทนรับกับความทุกข์ยากน่าเวทนาเช่นนี ้” คำตอบทั้งหมดที่เราได้รับมาจากคำถามนี้มีฐานคิดเรื่องอัตตาที่แบ่งแยก เรารู้ว่าเมื่อเรามีฐานความคิดมาจากอัตตาที่แบ่งแยก เราก็ยังไม่พบคำตอบที่สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า คำถามทุกคำถามเรื่องเหตุและผล, เวรกรรม, และการเกิดใหม่ ต้องถูกคลี่คลายในปัญญาแห่งคำสอน เรื่องอนัตตา เราได้ศึกษาเรื่องกรรมซึ่งขึ้นอยู่กับเครื่องบ่งชี้ เพียงคำสอนเรื่องจิตวิทยาแบบพุทธเท่านั้น แล้วเราก็ได้เห็นว่ามีทั้งกรรมที่เป็นระดับปัจเจกและระดับกลุ่ม

          เราอาจคาดได้ว่าผู้คนในเอเชียอาคเนย์ผู้ซึ่งเกิด เติบโต และดำรงชีพอยู่ตรงนั้น จะถูกสังหารโดยสึนามิซึ่งเกิดที่นั่น แต่เหตุใดชาวตะวันตกนับหมื่นคนจึงไปและพบพานความตายที่นั่น ในเวลานี้มีชาวตะวันตกนับพันผู้ซึ่งยังคงไม่รู้ว่าบุคคลอันเป็นที่รักของพวกเขารอดชีวิตหรือไม่ และเมื่อแต่ละชั่วโมงผ่านไป ความหวังของพวกเขาก็เลือนลางลง เมื่อเครื่องบินระเบิดและโหม่งพื้น ผู้โดยสารเกือบทั้งหมดเสียชีวิต แต่มีผู้รอดชีวิตหนึ่งหรือสองคน เราก็ถามว่า “ทำไม ทำไมถึงไม่ตายกันหมด ทำไมถึงมีคนรอด” นี่แสดงให้เห็นว่ากรรมมีทั้งแง่มุมที่เป็นปัจเจกและกลุ่ม เมื่อเราค้นพบหลักการเรื่องปัจเจกและกลุ่ม ก็เท่ากับ เราได้เริ่มวิเคราะห์ส่วนที่สำคัญเรียบร้อยแล้ว หากเรายังคงอยู่ในทิศทางแห่งความเข้าใจเรื่องอนัตตาอย่างถ่องแท้ เราก็จะค่อยๆ ค้นพบคำตอบที่ใกล้เคียงความจริงมากขึ้น ในสงครามเวียดนาม ทั้งประเทศและประชาชนต่างอยู่ในภาวะถูกทำลายอย่างมหาศาล เหตุใดผู้คน ๒ ล้านคนนั้นจึงตายไปในขณะที่ผู้คนอีกนับล้านไม่ตาย เมื่อมองเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง เราจะเห็นว่าแม้แต่ผู้ที่ไม่ได้ตายก็ตาย ถึงแม้ว่าจะด้วยวิถีที่ต่างออกไป นี่เป็นเรื่องชัดเจนมากว่าเมื่อใครบางคนที่เรารักตายไป บุคคลที่ตายยังโศกเศร้าน้อยกว่าคนที่อยู่ข้างหลังเสียอีก ดังนั้นความทุกข์โศกจึงเป็นเรื่องกลุ่มและไม่ใช่เรื่องปัจเจก

          วิคเตอร์ ฮูโก ในฐานะกวี ชีวิตของเขาแสวงหาและเฝ้ามอง เพราะฉะนั้นบทกวีจำนวนมากของเขาจึงเป็นการภาวนาไปในตัว บทกวีเชิงไตร่ตรองของเขาถูกรวบรวมลงในเล่มที่ชื่อว่า “les Contemplations (การใคร่ครวญไตร่ตรอง)” การใคร่ครวญไตร่ตรองหมายถึงการมองอย่างลึกซึ้ง วิคเตอร์ ฮูโกยังพบว่าชะตาชีวิตของมนุษย์เป็นชะตาชีวิตแบบกลุ่ม และเขาจับได้เสี้ยวของธรรมชาติความเป็นอนัตตาของสรรพสิ่ง หากเกิดอุบัติเหตุใดๆ ขึ้นกับสมาชิกในครอบครัวของเรา คนทั้งครอบครัวย่อมเป็นทุกข์ เมื่ออุบัติเหตุเกิดขึ้นกับส่วนหนึ่งในชาติของเรา มันก็เท่ากับเกิดขึ้นกับทั้งชาติ เมื่ออุบัติเหตุเกิดขึ้นกับบางส่วนของโลก มันก็เท่ากับเกิดขึ้นกับทั่วโลก และเราแบกรับร่วมกัน เมื่อเราเห็นว่าความทุกข์ของพวกเขาเป็นความทุกข์ของพวกเราเอง และความตายของพวกเขาเป็นความตายของพวกเรา ก็เท่ากับเราได้เริ่มเห็นธรรมชาติของอนัตตา เมื่อฉันจุดธูปบูชาและสวดภาวนาเพื่อผู้เสียชีวิตในภัยพิบัติสึนามิ ฉันก็เห็นชัดเจนว่าฉันไม่ได้เพียงสวดภาวนาเพื่อผู้ตาย แต่ฉันยังสวดภาวนาให้แก่ตัวเองด้วย เพราะว่าฉันเองก็เป็นเหยื่อของแผ่นดินไหวเช่นกัน พวกเราก็ตายด้วยเช่นกัน คนที่ตายไม่ได้มีเพียง ๑๕๕,๐๐๐ คน เมื่อใดก็ตามที่เรารัก เราก็จะเห็นว่าบุคคลที่เรารักก็คือตัวพวกเราเอง และหากคนที่เรารักตาย เราก็ตายด้วย ถึงแม้ว่าเราจะนั่งอยู่ที่นี่ และคิดว่าเรามีชีวิต ในความเป็นจริงนั้นเราได้ตายไปแล้วด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายส่วนหนึ่งก็เกิดขึ้นกับร่างทั้งร่างด้วย

          เผ่าพันธุ์มนุษย์และโลกเป็นกายเดียวกัน ฉันมีความรู้สึกว่าดาวโลกของเรากำลังทุกข์โศก และสึนามิครั้งนี้เป็นเสียงร่ำไห้ของโลกขณะบิดตัวด้วยความเจ็บปวด เป็นการคร่ำครวญร่ำไห้ร้องขอความช่วยเหลือ เป็นการสัญญาณเตือน เราได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมานานแสนนานโดยปราศจากความรักและความเวทนาแก่กันและกัน เราทำลายกันและกัน เราทำร้ายมารดาโลกของเรา ดังนั้นโลกจึงหันกลับมายังเรา ส่งเสียงครวญครางออกมา และต้องทนทุกข์ โลกเป็นมารดาของทุกเผ่าพันธุ์ เราทำให้แต่ละคนทนทุกข์ และเราก็ทำให้มารดาของเราทนทุกข์ แผ่นดินไหวครั้งนี้เป็นกระดิ่งแห่งสติ ความเจ็บปวดของส่วนหนึ่งของมนุษยชาติเป็นความเจ็บปวดของมนุษยชาติทั้งปวง เราต้องมองเห็นมันและตื่นขึ้นมา

          ในอดีต เมื่อใดก็ตามที่มีภัยพิบัติทางธรรมชาติ ตัวอย่างเช่นอุทกภัย แผ่นดินไหว หรือโรคระบาด ผู้ปกครองประเทศในเอเชียเชื่อว่าพวกเขาในฐานะผู้ปกครองไม่ได้แสดงความรับผิดชอบของ พวกเขาเท่าที่ควรและนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมภัยพิบัติทางธรรมชาติถึงได้เกิดขึ้น กับประเทศและประชาชนของพวกเขา เมื่อเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ผู้ปกครองในเอเชียบางคนก็จะให้คำมั่นเพื่อปฏิบัติตามหลักมังสวิรัติ นอนบนเสื่อซึ่งปูลาดบนพื้นแล้วสวดภาวนา บรรดารัฐมนตรีในวังก็เป็นมังสวิรัติด้วยเช่นกัน ต่างนอนบนพื้นแล้วสวดภาวนาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ มีบางสิ่งที่น่ายกย่องมากอยู่ในนั้น นั่นหมายความว่ากษัตริย์ได้มองเห็นความรับผิดชอบของพระองค์เอง พระองค์ทรงเห็นว่า ทรงมีชีวิตและปกครองในวิถีทางที่ยินยอมให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นได้ในประเทศของพระองค์ การกินมังสวิรัติและการนอนบนพื้นเป็นวิธีการเริ่มต้น (beginning anew) ที่กษัตริย์และบรรดารัฐมนตรีได้กระทำ มีสิ่งที่งดงามมากอยู่ในนั้น แต่นักการเมืองของเราเองกลับไม่มองชีวิตในวิถีแบบนั้น และธรรมเนียมนี้ก็ไม่ดำรงอยู่อีกต่อไปแล้ว

          พวกเราไม่ใช่นักการเมืองหรือว่ากษัตริย์ แต่เมื่อเราตระหนักถึงความทุกข์โศกและชะตาร้ายที่กำลังเกิดขึ้นกับโลกและเผ่าพันธุ์มนุษย์ เราก็ควรจะรับประทานมังสวิรัติและนอนบนพื้นด้วยเช่นกัน เรายังต้องทำตัวเองให้เป็นคนใหม่และดีขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะกรรมนี้เป็นสิ่งร่วมกัน เราทุกคนในระดับหนึ่งได้มีส่วนในกรรมร่วมกันนี้ ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับส่วนหนึ่งส่วนใดของดาวโลกหรือเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรา คือสิ่งที่เราทุกคนต้องรับผิดชอบ เมื่อผู้อื่นตายลงเราตายด้วย เมื่อผู้อื่นทุกข์เราทุกข์ด้วย เมื่อผู้อื่นสิ้นหวังเราสิ้นหวังด้วยนั่นคือความเข้าใจเรื่องอนัตตาอย่างถ่องแท้

          ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ของวิคเตอร์ ฮูโก คือจุดเริ่มต้นของการค้นพบ และการตระหนักรู้ที่หลุดพ้นจากความคิดเรื่องอัตตาที่แบ่งแยก เมื่อผู้คนเห็นธรรมชาติอนัตตาของเหตุการณ์อันเจ็บปวด พวกเขาก็จะสามารถรับความเจ็บปวดนั้นและพวกเขาจะไม่ต่อต้านพระเจ้า หรือต่อต้านชะตากรรมของมนุษยชาติ

          ในคัมภีร์เต๋าเต้อจิง (คัมภีร์ของลัทธิเต๋า) มีข้อความว่า “สวรรค์และโลกนั้นไม่ยุติธรรมหากมองทุกเผ่าพันธุ์เป็นดุจสุนัขฟาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไร้ความปรานี หากมองทุกเผ่าพันธุ์เป็นดุจสุนัขฟาง” (หมายเหตุ-ในพิธีศพจีนโบราณเมื่อฝังศพเรียบร้อยก็จะเผาหุ่นฟางรูปสุนัขทันที เพื่อให้สิ่งเลวร้ายถูกเผาไหม้ไปพร้อมกับสุนัขฟางนั้น อุปมาหมายถึงสิ่งไร้ค่า) “สุนัขฟาง” หมายถึงสิ่งที่ไม่มีคุณค่าพอจะใคร่ครวญและไม่มีความสำคัญใดๆ หากสวรรค์และโลกให้กำเนิดสรรพชีวิตจำนวนมหาศาลเพียงเพื่อให้ทนทุกข์และตาย แล้วฉะนั้นฟ้าดินก็ช่างไร้ความปรานี “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ในที่นี้คือบรรดาผู้ปกครอง จักรพรรดิ พระราชบัญชาขององค์จักรพรรดิเป็นที่รู้จักกันดีเสมือนหนึ่งเป็นคำสั่งอันศักดิ์ส ิทธิ์ ทัศนะขององค์จักรพรรดิรู้จักกันดีว่าเสมือนหนึ่งเป็นความคิดศักดิ์สิทธิ์ ผู้ปกครองสามารถกำหนดชะตาชีวิตประชาชน พวกเขาตัดสินใจที่จะปราบปรามประชาชนหรือไม่ก็เข้าสู่สงคราม ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงอาจไร้ความปรานีดังเช่นฟ้าดินก็อาจเป็น ถ้อยคำเหล่านี้คือการประท้วงชะตากรรมของมนุษยชาติ

          ในไม่ช้าเราจะสวดภาวนาด้วยนามของศาสดาของเรา คือ พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์มัญชุศรี พระโพธิสัตว์สมันตภัทร และพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ในฐานะองค์สังฆะเราควรสร้าง พลังแห่งความเมตตาและสติ เราควรกอดประคองดาวโลกโดยสวด ภาวนาให้แก่เหล่าผู้เคราะห์ร้ายทั้งปวงและครอบครัวผู้ซึ่งกำลังเศร้าระทมทุกข์ถึงพวกเขา พวกเขาบางคนอาจกอดกุมกันในขณะหลั่งน้ำตา ในขณะที่ผู้อื่นอาจไม่มีใครให้กอดกุมในขณะหลั่งน้ำตา เราควรสวดภาวนาให้พวกเราเองด้วยเพราะว่า เราเองก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายจากภัยพิบัติที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งเพิ่งเกิดขึ้น ได้โปรดมองให้ลึกซึ้ง นี่คือโอกาสของพวกเราที่จะเติบโตในทางความเข้าใจ ไม่ว่าเธอจะมาจากประเพณีคริสเตียน ยิว หรือว่าพุทธ เธอต้องมองให้ลึกซึ้ง กุญแจของการใคร่ครวญไตร่ตรองของพวกเราก็คือ อนัตตา วิคเตอร์ ฮูโก เป็นคริสเตียน เขาได้พบวิถีทางที่จะหลุดพ้นอัตตาที่แบ่งแยกเราต้องมองเข้าไปให้ลึกซึ้งให้เห็นว่า เราก็เป็นคนตาย เราก็เป็นเด็กกำพร้านั้น เด็กคนนั้นก็คือเรา ด้วยการใคร่ครวญไตร่ตรองในวิถีทางนี้เท่านั้น ที่จะทำให้เรายอมรับและขจัดความเจ็บปวดอันมหาศาลที่เรามีวันนี้

          โปรดนั่งตัวตรง พนมมือ และส่งพลังแห่งจิตวิญญาณของพวกเธอไปด้วยกัน...

หน้าแรก | กลุ่มเสขิยธรรม | ความเคลื่อนไหว |> ประเด็นร้อน | ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
นักบวชกับสังคมร่วมสมัย | จดหมายข่าวเสขิยธรรม | รวมเว็บน่าสนใจ | แผนผังไซต์
เสขิยธรรม skyd.org
สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน

กลุ่มเสขิยธรรม ภายใต้มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ ๑๔/๖๓ หมู่บ้านสวยริมธาร ๒ ซอย ๕
ถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก แขวง/เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ ๑๐๑๗๐
โทร. ๐๒-๘๐๐-๖๕๒๖ ถึง ๘, ๐๖-๗๕๗-๕๑๕๖ โทรสาร ๐๒-๘๐๐-๖๕๔๙
... e-mail :