เสขิยธรรม
ประเด็นร้อน
-
หน้าแรก | สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน | แผนผังไซต์

Entertainment Complex
บันเทิงครบวงจร หรือหายนะครบวงจร?

โดย พระศรีปริยัติโมลี (สมชัย กุสลจิตโต)
คอลัมน์กระแสทัศน์ มติชนรายวัน ฉบับวันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ปีที่ ๒๖ ฉบับที่ ๙๔๒๐ หน้า ๖

          ประมาณสักหนึ่งปีมานี้ สังคมไทยได้พูดจาถกเถียงกันถึงเรื่องการเปิดบ่อนการพนันเสรีถี่ขึ้นเรื่อยๆ จำได้ว่า ผู้เขียนเคยไปให้ความเห็นเรื่องนี้กับคณะวิจัยของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมาแล้ว และมีผลสรุปถึงรัฐบาลว่า ไม่สมควรจะเปิดบ่อนเสรีในบ้านเมืองเรา

          แต่แล้วความพยายามของภาครัฐก็ยังไม่หยุด หลังจากประสบความสำเร็จในการทำเหล้าเถื่อนให้เป็นเหล้าถูกกฎหมาย การเมาที่ผิดศีลธรรมมาเป็นเมาแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน ในสโลแกนว่า "หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์"

          หลังสุดพวกท่านก็พากันขุดผีหวยสองตัวสามตัวซึ่งฝังอยู่ใต้ดิน เป็นสิ่งผิดทั้งกฎหมายและศีลธรรมปลุกขึ้นมาเป็นผีดิบกินคนอยู่บนดินแบบถูกกฎหมาย แต่ก็ยังผิดศีลธรรมอย่างสง่าผ่าเผยไปแล้ว

          ตอนนี้พวกท่านก็เลยย่ามใจกันยกใหญ่ กำลังเล่นกับผีตัวใหม่ คือการเปิดบ่อนการพนันเสรีกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด

          ขนาดท่านนายกรัฐมนตรีต้องลงมาเล่นเองเลย โดยได้ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องนี้จะขอให้มีการลงประชามติจากประชาชนทั่วประเทศพร้อมกันนั้นก็มีการเปลี่ยนชื่อบ่อนการพนันมาเป็น "Entertainment Complex" ใช้คำฝรั่งมั่งค่าเสียโก้หรูไปเลย เหมือนกำลังเอาผีตายซากไปสวมเสื้อนอก ผูกเนกไท คาบไป๋ ดูโก้พิลึกเลย

          ความจริง คำนี้มันคงมิใช่ ศูนย์บันเทิงครบวงจร ศาสนบัณฑิตผู้หนักแน่นในทางธรรมบอกว่า ที่แท้มันคือ "ศูนย์อบายมุขครบวงจร" "ศูนย์หายนะแบบบูรณาการ" และ "ศูนย์พินาศล้างผลาญอย่างไร้ขีดจำกัด" ฯลฯ น่าจะถูกต้องกว่า

          เพราะมันจะเป็นตัวทำลายสังคม เยาวชน บ้านเมืองเราเสียย่อยยับอัปราเป็นแม่นมั่น

          คติโบราณของไทยเราว่า "โจรปล้นสิบครั้งก็ยังไม่เท่าไฟไหม้ครั้งเดียว แต่ไฟไหม้สิบครั้งก็ยังไม่เท่าผีการพนันลงหนึ่งครั้ง" เพราะโจรปล้นกี่ครั้งๆ ถึงมันจะกวาดเอาทรัพย์สมบัติไปได้มาก แต่อย่างน้อยบ้านและที่ดินก็ยังเหลืออยู่ ไฟไหม้ก็เหมือนกัน ร้ายที่สุดทำลายบ้านเรือนวอดวายไป แต่ที่ดิน เรือกสวนก็ยังอยู่ แต่ถ้าผีการพนันลงแล้ว สมบัติเหล่านี้ไม่เหลือเลย อาจรวมทั้งชีวิตและเกียรติศักดิ์ศรีของคนนั้นด้วย

          นี่ยิ่งเข้าไปแล้วสามารถสร้างความเสื่อมให้กับตนและครอบครัวได้ครบทั้ง ๖ ประเภท อบายมุขอย่างใน Entertainment Complex นี่ยิ่งน่าขนพองสยองกล้าหนักขึ้นสำหรับสังคมไทยเรา

          ทีนี้มาดูเหตุผล(ที่ไม่เข้าท่าของ) ฝ่ายสนับสนุนให้มีบ่อนการพนันเสรีบ้าง ประการแรก พวกเขาอ้างว่า ในหลายประเทศเช่นสหรัฐอเมริกา มาเลเซีย และประเทศเพื่อนบ้านรอบเรานี้เขาก็มีกัน ประเทศเราก็น่าจะมีกับเขาด้วย อะไรทำนองนี้

          ประการที่สอง การเปิดบ่อนการพนันเสรีในบ้านเมืองเรา จะเป็นการป้องกันมิให้คนใจรักพนักทั้งหลายหอบเงินปีละหลายๆ พันล้านไปละลายในบ่อนต่างประเทศ ทั้งรอบๆ ชายแดนไทย มาเก๊า ฮ่องกง และลาสเวกัส อเมริกา และประการที่สาม พวกเขาอ้างว่า ถ้ามีบ่อนการพนันรูปแบบใหม่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยเพิ่มขึ้นด้วย

          ประการสุดท้าย อย่างไรๆ กับคนไทยการพนันมันก็แยกกันไม่ขาดอยู่แล้ว มันเล่นกันอยู่แล้ว ก็เปิดให้มันเล่นเสรีเสียเลย ยอมรับความจริงกันเถอะ เงินทองจะได้เหลืออยู่ในประเทศไทยและเข้ารัฐด้วย

ตรงนี้ ฝ่ายคัดค้านก็ให้เหตุผลแย้งกลับว่า ที่ว่าหลายประเทศเขามีบ่อนการพนันเสรีกันนี่ มันเป็นเรื่องของแต่ละประเทศที่มีความจำเป็นและมีวิสัยทัศน์ต่างกัน

          ในเมืองลาสเวกัส อเมริกาเขามีบ่อน เพราะประเทศเขาตรงนั้นเป็นทะเลทรายแห้งแล้ง อย่าว่าแต่ผู้คนอยากจะผ่านไปมาเลย เมื่อก่อนขอโทษที แม้ผีก็คงไม่อยากผ่านไปเหมือนกัน พวกเขาจึงพยายามหาเครื่องเล่นมาล่อพวกแมลงเม่าตาฟางทั้งหลายให้ไปทิ้งปีกทิ้งหางกันที่นั่น

          แต่คนอเมริกันเขาคุมกันได้เพราะเขามีวุฒิภาวะพอ คนส่วนมากทำงานกันหนักๆ ไม่มีเวลาว่างมากเหมือนประเทศเกษตรบ้านเรา จึงไม่มีเวลาไปเล่นการพนันกันนัก

          และประกอบกับกฎหมายเขาศักดิ์สิทธิ์ กฎหมายเป็นกฎหมาย บังคับได้จริงจัง คนไทยเรามีเวลาว่างก็มาก นิสัยก็ชอบเฮฮาสนุกสนานกันตลอดเวลา คนไม่ทำงาน หรือว่างงานก็แยะมาก

          นอกจากนี้ บ้านเรานะพูดไปก็อายเขา กฎหมายไหนหรือจะสู้กฎหมู่ได้ ขนาดบ่อนการพนันผิดกฎหมายมีอยู่มากมายทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมือง ท่านผู้รักษากฎหมายยังพูดหน้าตาเฉยว่าไม่มีบ่อน ไม่มีซ่อง ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของตน นี่ถ้ามีบ่อนการพนันเสรี คงก็เสรีกันสุดเหวี่ยงจริงๆ จริงไหมท่าน?

          แล้วอนาคตลูกหลานเราข้างหน้าจะเป็นอย่างไรกัน โปรดช่วยกันไตร่ตรองด้วย

          ดังนั้น การที่ฝ่ายสนับสนุนอ้างว่า หลายประเทศเขามีบ่อนการพนันเสรีแล้ว ประเทศเราจึงควรมีบ่อนการพนันเสรีขึ้นมาบ้าง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว จึงยังฟังไม่ขึ้นอีก ก็เมื่อประเทศอื่นๆ เขามีบ่อนแล้ว ถึงเรามีอีกก็นับว่าซ้ำซ้อน ทำทีหลังเขาใครเขาจะมาเที่ยวบ้านเมืองเรา

          อีกข้ออ้างหนึ่งที่ว่า ไหนๆ คนไทยก็เล่นการพนันกันอยู่แล้ว ก็เปิดเสรีเสียเลย ข้อนี้พูดง่าย พูดแบบคนไม่มีความรับผิดชอบเลยก็ว่าได้ เหมือนกับพูดว่า ไหนๆ นักการเมืองก็ซื้อสิทธิขายเสียงกันอยู่แล้ว คอร์รัปชั่นกันดกดื่นเดียรดาษอยู่แล้ว ดังนั้น จะเป็นการดีนะ ถ้าพวกเราจะเปิดให้มีการซื้อ-ขายสิทธิและเสียง และให้มีการคอร์รัปชั่นกันเสรีเสียเลย ก็ง่ายดี ถ้าอย่างนี้ชาวบ้านก็อาจย้อนว่า ต่อไปพวกดิฉินก็ขอเลิกจ้างตำรวจ ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช.และ ปปง.กล่าวคือ คงไม่ต้องมีตำรวจแล้ว เผลอๆ อาจไม่ต้องมีรัฐบาลก็ได้ ปล่อยให้อะไรๆ เป็นเสรีหมดก็ง่ายขึ้นเยอะ

          อีกประเด็นหนึ่งที่พูดแล้วตาโตกันเลย รัฐบาลคงคิดว่าจะเป็นจุดชนะประชามติก็คือประเด็นที่ว่า จะได้เงินทองก้อนใหญ่ ถ้าหากเราเปิดบ่อนการพนันเสรี และก็จะทำให้เรามีเรามีเงินเหลืออยู่ในประเทศ รวมถึงมีเงินเข้าคลังของรัฐอีกปีละหลายพันหลายหมื่นล้านบาท

          ข้อนี้ก็มีปัญหาถามกลับไปอีกว่า

          หนึ่ง ทำไมรัฐไม่ห้ามนักการพนันที่ขนเงินไปละลายในบ่อนต่างประเทศและชายแดนเสียเองก่อน

          สอง ถ้าหากจะมีคนได้เงินจากการเปิดบ่อนเสรี ก็คงจะเป็นบรรดากลุ่มนายทุนใหญ่ซึ่งเตรียมการใหญ่รอรับทรัพย์กันอยู่แล้ว ส่วนพวกเราชาวบ้านตาดำๆ คงไม่มีโอกาสได้หรอก พูดไปแล้ว ถึงมีโอกาสได้ ก็อย่าอยากได้เงินการพนันกันเลย เพราะมันเป็นเงินบาป เงินเวรกรรม เงินเช่นนี้เอาไปเลี้ยงลูก ลูกก็ไม่ดี ไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ เอาไปเลี้ยงภรรยา ภรรยาก็นอกใจ เอาไปเลี้ยงเพื่อน เพื่อนก็ทรยศ และโดยที่สุดเอาไปบริหารประเทศ ประเทศก็เสียหาย

          เพราะเรื่องการพนันนี้ พระพุทธเจ้าจัดเป็นอบายมุข เป็นทางแห่งความเสื่อม ความหายนะ และความล่มสลายทั้งทางโลกทางธรรมเป็นหนึ่งในหกข้อแห่งอบายมุข คือ ความเป็นนักเลงสุรา, เที่ยวกลางคืน, เที่ยวดูการละเล่น, เล่นการพนัน, คบคนชั่วเป็นมิตร และเกียจคร้านทำงาน

          เฉพาะการพนันอย่างเดียว พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงโทษหรือผลเสียหายไว้ถึง ๖ ประการคือ เมื่อชนะย่อมก่อเวร, เมื่อแพ้ก็เกิดความเสียดายทรัพย์สินเงินทองที่เสียไป, ทรัพย์สินเงินทองย่อมหมดสิ้นไป, ไม่มีคนเชื่อถ้อยคำ, ถูกเพื่อนถูกสังคมดูหมิ่น และไม่มีใครอยากแต่งงานเป็นคู่ครองหรือคบค้าสมาคมด้วย

          จะเห็นได้ว่า การพนันมิได้บอกเลยว่า เป็นแหล่งได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทอง มีแต่เสื่อมเสียทั้งทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง และความน่าเชื่อถือ แถมยังสร้างเวรก่อกรรม หาเพื่อนที่แท้ไม่ได้ และหาคู่ครองที่จะมาร่วมสุขร่วมทุกข์กันจริงๆ ไม่ได้อีกด้วย เพียงแค่นี้ ชีวิตคนเราก็เลวร้ายที่สุดแล้ว

          แต่ใน Entertainment Complex ของท่านน่ะ มันจะรวมเอาอบายมุขไว้ครบทั้ง ๖ ประการเลย เป็น "ศูนย์รวมความหายนะครบวงจร" หรือ "ศูนย์แห่งความฉิบหายแบบบูรณาการ" แล้วอย่างนี้ สังคมไทยยังจะเหลืออะไรอีกหรือ? ขอให้ไตร่ตรองกันให้มากๆ ด้วย

          เรื่องการพนันกับสังคมไทยเรานี้ ย่อนดูประวัติศาสตร์แห่งความเป็นมาของชาติไทยเรากันสักนิดเถอะ พวกเรามีบ่อนการพนันสำหรับให้คนจีนเล่นมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ต่อมาสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ.๒๒๙๙) ขุนพิตรและหมื่นรุดอักษร ยื่นเรื่องกราบบังคมทูลขอตั้งบ่อนเบี้ยขึ้นในเมืองราชบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรปราการ และรับว่าจะประเมินเงินถวายหลวงปีละ ๓๗๑ ชั่ง (๒๙,๖๘๐ บาท)

          ในยุคกรุงธนบุรี ก็มีบ่อนเล่นพนันกันแพร่หลายมากขึ้น

          พอมาถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ เก็บเอาบ่อนเบี้ยได้ปีละ ๒๖๐,๐๐๐ บาท ในรัชกาลที่ ๓ เก็บได้ปีละ ๔๐๐,๐๐๐ บาท, รัชกาลที่ ๔ เก็บได้ปีละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท

          จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช รัชกาลที่ ๕ (พ.ศ.๒๔๓๐) มีบ่อนการพนันในเขตพระนครและแขวงเมืองนนทบุรี ๔๐๓ แห่ง และบ่อนตามหัวเมืองมณฑลต่างๆ อีก ๒๐๐ แห่ง (รวมทั้งหมด ๖๐๓ แห่ง) คิดเป็นอากรบ่อนเบี้ยเข้าท้องพระคลังในสมัยนั้นจะได้ถึงปีละ ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท

          แต่ถึงกระนั้น พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช ก็ทรงพิจารณาเห็นว่า คนไทยติดการพนันกันงอมแงม เป็นหนี้เป็นสิน เสียผู้เสียคนกันทั่วบ้านทั่วเมือง จึงทรงประกาศให้เลิกการพนัน(เมื่อวันอังคาร เดือนอ้าย แรม ๑๓ ค่ำ ปีกุน พ.ศ.๒๔๓๐) โดยลดจำนวนบ่อนลงเรื่อยๆ โดยมิได้ทรงห่วงว่า เงินท้องพระคลังจะลดลงถึงปีละ ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ถ้าคิดเป็นเงินปัจจุบันอาจจะมากกว่า ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาทก็ได้)

          ถึงปี พ.ศ.๒๔๓๒ ทรงประกาศยกเลิกบ่อนเบี้ยในกรุงเทพฯ อีกปีละ ๑๐ ตำบล และเมื่อถึงปี พ.ศ.๒๔๔๑ ทรงประกาศยกเลิกบ่อนเบี้ยตามหัวเมืองในมณฑลต่างๆ จวบจนถึงปี พ.ศ.๒๔๖๐ (ในสมัยรัชกาลที่ ๖) จึงมีพระราชบัญญัติห้ามมิให้ใครเล่นถั่วโปในราชอาณาจักรอีกต่อไป

          เรียกว่า นับแต่แรกตั้งจนถึงวันที่ประกาศเลิกได้เด็ดขาดนั้น ต้องใช้เวลายาวนานถึง ๑๘๐ ปี เลยทีเดียว

          ดังนั้น รัฐบาลที่ดีที่ประพฤติธรรมนำความถูกต้องและมีครรลองทางสัมมาทิฐิแล้ว คงต้องใคร่ครวญถึงพระจริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช โดยเฉพาะช่วงที่ทรงพยายามต่อสู้กับอบายมุขการพนันนี้อย่างหนัก จนในที่สุด ก็ทรงประกาศเลิกบ่อนเบี้ยในสยามประเทศนี้อย่างเด็ดขาด คิดว่าอย่างน้อยพวกเราก็มาร่วมกันทำถวายเป็นเครื่องราชสักการะในวโรกาสมงคลสมัยครบ ๑๕๐ ปี แห่งวันพระราชสมภพของพระองค์ท่าน ก็จะเป็นสิริมงคลแก่พวกเราทุกคน โดยเฉพาะคณะรัฐบาลไม่น้อยเลย

          เพราะการพนัน เป็นปากแห่งความเสื่อม เป็นทางแห่งความหายนะความพินาศ ผิดหลักการของศาสนาทุกศาสนาและแย้งกับหลักสัจธรรม

          หวังว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและพรรคไทยรักไทย คงไม่มืดมนขนาดจะวิ่งเอาหัวชนเสากำแพงแดดิ้นเอาดื้อๆ โดยที่พรรคคู่แข่งไม่ต้องออกแรงทำอะไรเลยหรอกนะ

ผู้รักธรรมเป็นคนเจริญ (ธัมมะกาโม ภะวัง โหติ)

ผู้เกลียดชังธรรมเป็นคนเสื่อม (ธัมมะเทสสี ปะราภะโว) .. .

หน้าแรก | กลุ่มเสขิยธรรม | ความเคลื่อนไหว |> ประเด็นร้อน | ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
นักบวชกับสังคมร่วมสมัย | จดหมายข่าวเสขิยธรรม | รวมเว็บน่าสนใจ | แผนผังไซต์
เสขิยธรรม https://skyd.org
สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน

กลุ่มเสขิยธรรม ๑๒๔ ซอยวัดนพคุณ ถนนสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพฯ ๑๐๖๐๐
โทร. ๐๒-๘๖๓๑๑๑๘, ๐๖-๗๕๗๕๑๕๖ โทรสาร ๐๒-๔๓๗๙๔๔๕
... e-mail :