เสขิยธรรม
ประเด็นร้อน
-
หน้าแรก | สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน | แผนผังไซต์

“คิกออฟ” ที่ “ตากใบ”

พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ
กลุ่มเสขิยธรรม / skyd.org

 

          อีกไม่นานข่าวความรุนแรงในการสลายการชุมนุมที่ สภอ.ตากใบ เมื่อบ่ายและเย็น วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๗ ก็จะลบเลือนหายไป เช่นเดียวกับเหตุการล้อมปราบที่มัสยิดกรือเซะ จังหวัดปัตตานี การล้อมปราบที่สวนปาล์มน้ำมัน จังหวัดกระบี่ และการสลายการชุมนุมที่ใกล้โรงแรมเจบี อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งถึงบัดนี้ หลายคนคงจำไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ว่าเกิดขึ้นเมื่อใด เกิดขึ้นกับใคร มีสิ่งใดเป็นมูลเหตุ และผลของเหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่สิ่งใด มิพักจะต้องกล่าวถึง “พฤษภาทมิฬ”, “๖ ตุลาเลือด” หรือ “๑๔ ตุลามหาวิปโยค” ซึ่งแม้หลายคนในเหตุการณ์จะยังมีชีวิตอยู่ แต่กระทั่งลูกหลานของตนก็คงแทบมิได้ถามถึง ว่า..คุณพ่อ คุณแม่ คุณลุง คุณป้า ฯลฯ มีส่วนร่วม หรือเคยประกอบวีรกรรมใดไว้

          จึงแทบมิต้องถามหาคนสั่งการ หรือแสวงหาความรับผิดชอบใดๆ ให้ต้อง “พะอืดพะอมทางจริยธรรม” กันอีกต่อไป…

 

          จะว่าไปแล้ว คล้ายกับว่า บ้านนี้เมืองนี้ มี “พุทธศาสนา” ไว้ปลุกเสกเลขยันต์ ถุยน้ำหมาก ขากน้ำมนต์ พ่นคำเรี่ยไร หรือมีไว้ส่งเสริมพุทธพาณิชย์ เป็นด้านหลัก โดยที่ “ชาวพุทธ” มิได้ดูดำดูดีต่อความรุนแรงในสังคม ทั้งระดับบุคคลและโครงสร้าง ว่าควรนำหลักพุทธธรรม หรือหลักศาสนธรรม มาใช้อย่างไร ให้สอดคล้องกับกลไกอื่นๆ อย่างลงตัว

          เพื่อแก้ปัญหาที่สาเหตุ และหาทางออกอย่างมีโยนิโสมนสิการ

          ขณะเดียวกัน เราก็มีคำหรือวลีไพเราะ ประเภท “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” และ “ความมั่นคง” เอาไว้เป็นเงื่อนไข ให้ “ผู้ถืออาวุธ” กระทำต่อ “ผู้ไร้อาวุธ” ให้ถึงแก่บาดเจ็บล้มตาย ด้วย “คำพิพากษาตามอารมณ์” และ “ลางสังหรณ์” ในที่เกิดเหตุ ว่าจำต้องรักษากฎหมาย ต้องป้องกันตน และเพื่อมิให้สถานการณ์รุนแรงยิ่งขึ้น

          โดยมีความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าไว้ให้บันทึก อย่างไม่มีใครใส่ใจจะขอโทษ และสรุปบทเรียน เพื่อหาทาง แก้ไข-เยียวยา

 

          ดูไป ไม่ว่าวันเวลาจะล่วงผ่านสักเพียงใด ชีวิตของผู้คนภายใต้อำนาจรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกปลายอ้อปลายแขม พวกหัวไร่ปลายนา ก็ยังเป็นผักเป็นปลา ในสายตาของ “ฝ่ายความมั่นคง” ทั้งหลายอยู่ดี นับแต่ครั้งเผด็จการทหาร มาจนถึงยุคเผด็จการรัฐสภา ยุคทุนนิยม “สมบูรณาญาสิทธิ์” ในปัจจุบัน ภาพการ “ถอดเสื้อมัดมือไพล่หลังนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น” ที่เคยมีมาตั้งแต่ครั้ง “รัฐมนตรี” บางคนในรัฐบาลทักษิณยังเป็นแกนนำนักศึกษา ยุค ๖ ตุลา ถึงวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๗ จึงยังมีให้เห็นกันอยู่ ดูราวกับว่าระบอบการเมืองการปกครอง ระบบและกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนของไทย ยังย่ำอยู่กับที่ อย่างไม่เปลี่ยนแปลง คล้ายกับว่าเราหูป่าตาเถื่อนกันอย่างสบายอกสบายใจ ขณะที่นานาอารยประเทศหันไปพูดถึงสิทธิสุนัข สิทธิของหนูตะเภาทดลองยา หรือสิทธิจิ้งจกตุ๊กแก ฯลฯ กันไปแล้ว หรือว่าเราทั้งหลายถนัดจะหน้าไหว้หลังหลอก ถนัดที่จะมือถือสากปากถือศีล หรือถนัดแค่หลอกให้เด็กๆ ซื้อและใช้โทรศัพท์พกพา กันไปวันๆ จนมองไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเอาเสียจริงๆ ปล่อยให้ “ทำนองคลองธรรม” ต้องตกอยู่ภายใต้อุ้งเท้าของบุคคลหรือคณะบุคคล อันมีโมหจริต และมิจฉาทิฏฐิเป็นที่ตั้ง ที่จะทำร้ายลูกหลานของเราได้ตามอำเภอใจ

 

          ก็รัฐบาลไทยไม่ใช่หรือ ที่เรียกร้องความสมานฉันท์ ทั้งที่ผ่านโฆษกรัฐบาล และที่ผ่านถ้อยคำโฆษณาชวนเชื่อตามสื่อต่างๆ ก็รัฐบาลไทยไม่ใช่หรือ ที่เรียกร้องหาความสงบสุขและการไม่ใช้ความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ ก็รัฐบาลไทยไม่ใช่หรือ ที่พยายามวิงวอนให้พี่น้องมุสลิมในสามสี่จังหวัดชายแดนสนับสนุนและให้ความร่วมมือกับรัฐ อีกทั้งเรียกร้องให้ช่วยเป็นหูเป็นตา คอยสอดส่องดูแลความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ฯลฯ และ ฯลฯ ก็หากประสงค์ทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ามา… ก็แล้วทำไมไม่ยับยั้งชั่งใจเสียเองเล่า กับการยั่วยุของผู้ชุมนุมจำนวนไม่กี่พันคนหน้า สภอ.ตากใบ ก็แล้วทำไมไม่พยายามลด ละ เลิก การใช้ความรุนแรงเสียเองเล่า เพียงแค่กับผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ จำนวนไม่กี่พันคน ที่หน้า สภอ.ตากใบ ก็แล้วทำไมเล่า จึงต้องเอาตัวผู้นำทางทหาร ตัวผู้นำกองทัพไปต่อรองเสียเอง แทนที่จะหานักเจรจา หรือนักไกล่เกลี่ยความขัดแย้งมืออาชีพ หรือผู้นำศาสนาที่เชี่ยวชาญด้านนี้มาทำหน้าที่แทน และที่สำคัญยิ่ง ก็แล้วมันเพราะสาเหตุใดเล่า จึงปล่อยให้ถึงกับเสียเลือดเสียเนื้อ หรือเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมมากมายขนาดนี้

          หรือชีวิต “คนมุสลิม” ไม่สำคัญ ???!!!???

 

          เอาเข้าจริง นับตั้งแต่การปล้นปืนในหน่วยทหารเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๗ ท่าทีและวิธีการของภาครัฐและของฝ่ายความมั่นคงก็มิได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด มีเพียงบุคคลอันเสมือนตัวประกอบเท่านั้นที่ผ่านมาแล้วจากไป ทั้งที่ถูกปลดและโยกย้าย ทั้งที่บาดเจ็บและล้มหายตายจาก

          ถ้อยคำประเภท “ความเด็ดขาด” “ปราบปรามอย่างจริงจริง” “ต้องรักษากฎหมาย” “ต้องทำเพื่อความถูกต้อง” “บ้ามาก็บ้าไป” “ไม่กลัว” “ยอมตาย” ฯลฯ ยังถูกถ่มถุยออกมาเพื่อยืนยันระบบ “ตาต่อตาฟันต่อฟัน” อย่างไม่ลดราวาศอก

          การส่งกำลังทหารและเจ้าหน้าที่ฝ่ายอื่นๆ เข้าไปในพื้นที่ ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และนับวันจะมากขึ้น เช่นเดียวกับการเพิ่มอาวุธหนัก และเครื่องไม้เครื่องมือในการทำสงครามเข้าไป ทั้งๆ ที่ถึงบัดนี้ก็ยังยืนยัน “ผู้บงการ” หรือ “ศัตรูที่แท้จริง” ไม่ได้

          กระทั่งในที่สุด เมื่อหาทางออกจาก “กับดักแห่งความรุนแรง” ไม่ได้ แม่ทัพภาคสี่ก็ “ประกาศใช้ ‘เคอร์ฟิว’ ตั้งแต่ ๔ ทุ่ม ของวันที่ ๒๕ ตุลา ไปจนกว่าเหตุการณ์จะปกติ” เสียเลย

          …ง่ายและปลอดภัยดี !!

 

          ที่ผ่านมา ในทุกเวทีการอภิปราย พูดคุย หรือสัมนาทางวิชาการ ทั้งนักวิชาการมุสลิม ผู้นำศาสนา และผู้นำชาวบ้าน ต่างกล่าวแทบเป็นเสียงเดียวกันว่า สับสนและมึนงงกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยว่าแนวคิดแบ่งแยกดินแดนคล้ายจะจบสิ้น หรือจางคลายไปจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาเนิ่นนานแล้ว กระทั่งกลุ่มกำลังหรือกองโจรต่างๆ ทั้งที่อ้างอุดมการณ์และแสวงประโยชน์ ก็ล้วนแต่ลดน้อยถอยลงไปตามๆ กัน

          ต่างจากปากคำเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งฝ่ายความมั่นคง กองทัพ และสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มักแถลงข่าวถึงประเด็นการก่อความไม่สงบ “เพื่อหวังผลทางการเมือง” หรือ เพื่อ “การแบ่งแยกดินแดน” แทบทั้งสิ้น มีเพียงระยะแรกเท่านั้น ที่นายกรัฐมนตรีกล่าวถึง “โจรกระจอก” และแสดงท่าทีว่าไม่วิตกกังวลใดๆ

          ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ พัฒนาการของปฏิบัติการในสามจังหวัดภาคใต้นั้น ดูจะสวนทางกับคำพูดของผู้รู้ฝ่ายมุสลิมและนายกรัฐมนตรี แต่สอดคล้องและสัมพันธ์กับคำพูดของฝ่ายความมั่นคงหรือกองทัพอยู่เสมอ กล่าวคือ จาก “โจรกระจอก” ในเบื้องแรก ถึงบัดนี้คล้ายจะกลายเป็นกองกำลังติดอาวุธ ที่เชี่ยวชาญทั้ง ยุทธศาสตร์-ยุทธวิธี ไปเรียบร้อยแล้ว มิหนำซ้ำ ยังปีกกล้าขาแข็งจัดตั้งมวลชน ฝึกเยาวชน และฝึกการก่อวินาศกรรมให้คนในพื้นที่ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ชนิดที่ทั้งรวบรัดและรวดเร็ว ไม่เป็นดังเช่นที่นายกรัฐมนตรีกล่าวถึง หรือรับปากกับสาธารณชนแต่อย่างใด… ซึ่งก็ไม่ทราบแน่ชัด ว่านายกรัฐมนตรี “คาดการณ์ผิด” หรือเพราะลูกน้องไม่ยอมให้ท่าน “เดาถูก” ก็ไม่ทราบได้

 

          ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น จะว่าไปแล้วก็ใช่จะไร้คำตอบ หรือไร้ทางออกเสียทีเดียวนัก ด้วยว่าข้อเสนออีกจำนวนมาก ยังไม่ได้รับความสนใจจากผู้มีอำนาจอย่างจริงจัง มิหนำซ้ำ หลายข้อเสนอ ก็ถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายที่นิยมการปราบปรามอย่างรุนแรง ตลอดจนยึดมั่นในชาตินิยม ยับยั้งเอาไว้ ดังเช่นแผนหรือนโยบาย ที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง เคยจัดทำเอาไว้ร่วมกับผู้นำศาสนา นักวิชาการ และผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ ขณะเดียวกัน ข้อเรียกร้องที่จะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ หรือมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของคนในสามจังหวัดเอง ก็ยังถูกบ่ายเบี่ยงปฏิเสธ หรือแค่แบ่งรับแบ่งสู้ จากผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่จะว่าไปแล้ว การจัดตั้งสมัชชา หรือสภาประชาชนในพื้นที่ ให้หันหน้าเข้าหากันเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยตัวของพวกเขาเอง ก็ใช่ว่าจะเหลือบ่ากว่าแรงของภาครัฐสักเท่าใดนัก สามจังหวัดภาคใต้จึงคล้ายจะถูกปล่อยให้เผชิญชะตากรรมด้วยตัวเองมาโดยตลอด จนต้องเผชิญทางตัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังมีศักยภาพจะแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

          แต่พอถึงวันนี้ เมื่อทุกอย่างกำลังสุกงอม และรอปะทุระเบิด ก็มีเพียง “คนในพื้นที่” เท่านั้นที่จำต้องรอรับ “คำพิพากษา” ทั้งจาก “รัฐ” และจาก “สังคม” อย่างทั่วหน้า

          ว่า…เป็นพวกทำบ้านเมืองเสียหาย ไม่เห็นแก่ส่วนรวม !!!

 

          เย็นวันที่ ๑๗ ตุลา เมื่อพรรคไทยรักไทยจัด “คิกออฟ แคมเปญ” นั้น บางคนสรุปอย่างรวบรัดว่า “กระสุนด้าน” การณ์ไม่เป็นไปตามที่ทีมงานตั้งความหวังเอาไว้

          แต่สำหรับบ่ายและเย็น วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๗ ที่ผ่านมา หลายคนเห็นพ้องกันว่า “คิกออฟ ที่ตากใบ” คงไม่พลาดเป้าเป็นแน่ เพราะอย่างน้อยกระแสคลั่งชาติ ที่สะใจในการเหยียบย่ำมุสลิม และกระแสสามัคคีสู้รบของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บและล้มตายถูกจุดประกายให้ลุกโชนขึ้นแล้ว ๖ ศพ ที่ตายไป หลายสิบที่บาดเจ็บ และกว่าสามร้อยคนที่ถูกจับกุม จะส่งผลตามมาเช่นไรก็ยากที่จะคาดคำนวน ศพที่ถูกกลบฝัง ไม่นานสังคมก็อาจลืมเลือน บาดแผลบนร่างกาย ไม่นานนักก็คงหายขาด เช่นเดียวกับรอยเลือดบนถนน หรือบนแผ่นดิน ที่ในที่สุดก็จะถูกชะล้างให้หมดสิ้นไป

          แต่ที่แน่ชัดและมากไปกว่านั้น ก็คงจะเป็น “หัวใจ” นั่นเอง ที่ถูก “คิกออฟ” เข้าเป้าอย่างถนัดถนี่…

          ด้วย “ความรุนแรงและหยาบกระด้างของจิต” ที่ไม่เคยปราณีใคร !!!

          สำหรับคนบางคนที่ไฟเขียวให้ฆ่าตัดตอนคนค้ายานับพันสองพันคน ที่สั่งให้ฆ่าเป็ดฆ่าไก่ฆ่าสัตว์อื่นๆ นับสิบๆ ล้านตัว ที่สั่งให้รื้อหมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน หรือที่สั่งให้ยิงคนในมัสยิดกรือเซะ ฯลฯ การ “คิกออฟที่ตากใบ” อาจเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย จนไม่รู้สึกกระไรนัก…

          แต่ “เมล็ดพันธุ์แห่งความรุนแรง” ที่ “คิกออฟ” เข้าไปในหัวใจผู้คน ในหัวใจเยาวชน ใครหน้าไหนเล่าที่จะมารักษาได้

          ใครหน้าไหนเล่าที่จะแอ่นอกสารภาพ และยอมรับผิดต่อสาธารณะ จากการกระทำที่ตั้งใจของตัวเอง… หรือว่าจะต้อง “คิกออฟ” บางผู้นำ การคิกออฟแบบบ้าระห่ำจึงจะหมดสิ้นไป !!

หน้าแรก | กลุ่มเสขิยธรรม | ความเคลื่อนไหว |> ประเด็นร้อน | ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
นักบวชกับสังคมร่วมสมัย | จดหมายข่าวเสขิยธรรม | รวมเว็บน่าสนใจ | แผนผังไซต์
เสขิยธรรม https://skyd.org
สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน

กลุ่มเสขิยธรรม ๑๒๔ ซอยวัดนพคุณ ถนนสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพฯ ๑๐๖๐๐
โทร. ๐๒-๘๖๓๑๑๑๘, ๐๖-๗๕๗๕๑๕๖ โทรสาร ๐๒-๔๓๗๙๔๔๕
... e-mail :