เสขิยธรรม
ประเด็นร้อน
-
หน้าแรก | สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน | แผนผังไซต์

พระโต้บิดเบือนชาตินิยมเครือข่ายลั่นตัดขาดมหา

กองบรรณาธิการ
นสพ.ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๗

          เปิดวีซีดี "พระวีระพันธ์" ย้อนประวัติศาสตร์การสูญเสียดินแดน ๑๔ ครั้งตั้งแต่ยุคต้นรัตนโกสินทร์ ยันปลุกจิตสำนึกรักชาติไม่เกี่ยวกับไฟใต้ ปฏิเสธไม่ได้เป็นพระขวาจัด

          เตือนอย่าบิดเบือนเดี๋ยวสมาชิกทั่วประเทศรวมตัว บก.สส.แจงไม่รู้เห็นพระไปทำเอง ขณะที่เครือข่ายศาสนิก ๓ ศาสนาแจ้งเลิกสังฆกรรมกับศูนย์คุณธรรมของ พล.ต.จำลอง ระบุไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการปลุกกระแสชาตินิยม

          พ.อ.กาจน์พิจักษณ์ กาญจนทัพพะ ผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์กรมกิจการพลเรือน กองบัญชาการทหารสูงสุด (บก.สส.) กล่าวชี้แจงเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายนนี้ กรณีที่พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ ประธานกลุ่มเสขิยธรรม ระบุว่า บก.สส.จัดทำวีซีดีปลุกกระแสแนวคิดชาตินิยมโดยมีพระรูปหนึ่งช่วยประชาสัมพันธ์วีซีดีว่า บก.สส.ไม่เคยจัดทำวีซีดีดังกล่าวขึ้นมาตามที่เป็นข่าว จึงได้สอบถามไปยังกระทรวงกลาโหม ก็ได้รับคำยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้จัดทำวีซีดีดังกล่าวขึ้นมาเช่นกัน แต่จากการสอบถามพระอาจารย์วีระพันธ์ ซึ่งเป็นพระวิทยากรตามโครงการกองทัพธรรมกองทัพไทย ที่ทำงานร่วมกับ บก.สส.ในการรณรงค์การต่อต้านยาเสพติด รับทราบว่าพระอาจารย์วีระพันธ์ได้ทำวีซีดีดังกล่าวขึ้นเพื่อฉายให้วิทยากรทั่วประเทศได้ดูนานแล้ว ไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในภาคใต้ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้แต่อย่างใด

          "พร้อมกันนั้น บก.สส.ได้ขอวีซีดีดังกล่าวมาดูก็เห็นว่าไม่ได้มีเนื้อหาปลุกระดมแต่อย่างใด สิ่งที่นำเสนอเกี่ยวกับการปลุกจิตสำนึกให้รักชาติไม่ได้มีแนวคิดขวาจัดอย่างที่สื่อนำเสนอ แต่ยืนยันว่า บก.สส.ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือรู้เห็นการจัดทำวีซีดีแต่อย่างใด" ผอ.กองประชาสัมพันธ์ฯ บก.สส.กล่าว

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อขอดูวีซีดีดังกล่าวซึ่งมีเนื้อหาเพียง ๔ นาที โดยเริ่มจากการนำพระราชดำรัสของรัชกาลที่ ๕ ความว่า "ฉันรู้ตัวฉันว่าถ้าความเป็นเอกราชของกรุงสยามได้สูญสิ้นไปเมื่อไหร่ ชีวิตฉันคงสูญสิ้นไปเมื่อนั้น ลงชื่อ สยามมินทร์" มานำเสนอ ตามด้วยแผนที่ไทยในยุคก่อนที่มีรูปขวานขนาดใหญ่ที่สูญเสียแผ่นดินออกไปทีละจุด ครั้งแรก สมัย ร.๑ ที่เสียเกาะหมากให้อังกฤษ ครั้งที่ ๒ สมัย ร.๑ เสียมะริด, ทวาย, ตะนาวศรี ให้แก่พม่า ครั้งที่ ๓ สมัย ร.๒ เสียบันทายมาศให้ฝรั่งเศส ครั้งที่ ๔ สมัย ร.๓ เสียแสนหวี, พง, เชียงตุง ให้พม่า ครั้งที่ ๕ สมัย ร.๓ เสียเปรัก ให้อังกฤษ

          ครั้งที่ ๖ สมัย ร.๔ เสียสิบสองปันนาให้จีน ครั้งที่ ๗ สมัย ร.๔ เ สียเขมรและอีก ๖ เกาะให้ฝรั่งเศส ครั้งที่ ๘ สมัย ร.๕ เสียสิบสองจุไทให้ฝรั่งเศส ครั้งที่ ๙ สมัย ร.๕ เสียฝั่งสาละวินให้อังกฤษ ครั้งที่ ๑๐ สมัย ร.๕ เสียลาวให้ฝรั่งเศส ครั้งที่ ๑๑ สมัย ร.๕ เสียฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส ครั้งที่ ๑๒ สมัย ร.๗ เสียพระตะบอง, เสียมราฐ, ศรีโสภณให้ฝรั่งเศส ครั้งที่ ๑๓ สมัย ร.๗ เสียกลันตัน, ตรังกานู, ไทรบุรี ปะริดให้อังกฤษ ครั้งที่ ๑๔ สมัย ร.๙ เสียเขาพระวิหารให้เขมร

          ทางด้านพระอาจารย์วีระพันธ์ รักขิตสีโล หัวหน้าสำนักงานกองทัพธรรมกองทัพไทย บก.สส.ให้สัมภาษณ์ว่า วีซีดีดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการในการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดที่จัดทำตั้งแต่ต้นปี ๒๕๔๖ ซึ่งเนื้อหาที่ได้นำมาก็มาจากส่วนหนึ่งของหนังสือประวัติศาสตร์ที่มีพระราชดำรัสของ ร.๕ แจกกันในงานปิยมหาราช เนื้อหาที่เรานำเสนอก็เป็นเรื่องของปลุกจิตสำนึกเยาวชนว่า ประเทศชาติของเราก็จะเป็นปึกแผ่นได้ต้องสูญเสียไปกี่ครั้ง ถ้าพวกเราที่เป็นคนไทยไม่เข้มแข็งร่วมกันในการปกป้องดูแล ประเทศชาติก็อยู่ไม่ได้ ซึ่งเราจะเปิดในโครงการอบรมเยาวชนที่มีอยู่ทั่วประเทศทั้ง ๗๒ จังหวัด โดยมีการไปตั้งเป็นศูนย์พัฒนาคุณธรรมด้วยในภาคใต้ก็มีทั้งหมด ๑๔ จุด ใน ๓ จังหวัดภาคใต้ก็มี

          พระอาจารย์วีระพันธ์กล่าวว่า โครงการกองทัพไทยกองทัพธรรม เกิดมาตั้งแต่ปี ๔๒ สมัยที่ พล.สำเภา ชูศรี เป็น ผบ.สส. โดยอบรมพระวิทยากรทุกจังหวัดโดยมีการตั้งเป็นศูนย์พัฒนาคุณธรรม ซึ่งเป็นคนละองค์กรกับศูนย์คุณธรรมของ พล.ต.จำลอง และเมื่อรัฐบาลประกาศสงครามเอาชนะยาเสพติด เราได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการอบรมวิทยากร เพื่อลงไปช่วยทำความเข้าใจปลุกจิตสำนึกให้กับเยาวชนทั่วประเทศ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องภาคใต้เลยแม้แต่น้อย ข่าวที่ลงไปไม่ดี ทำให้เกิดความเสื่อมเสียและ บก.สส.เขาก็ไม่ได้มาสนับสนุนหรือเกี่ยวข้องเลย

          "พระกิตติศักดิ์คงเขาใจผิดเราไม่ได้ไปปลุกกระแส หรือไปทำอะไรให้แตกแยกเลย เราเพียงต้องการสร้างความเข้มแข็ง เวลาไปบรรยายก็เอาไปเปิดให้เห็นว่าประเทศไทยกว่าจะมีเอกราชได้ต้องเสียแผ่นดินมากี่ครั้ง สิ่งที่ออกมาบิดเบือนหมดหลังจากเกิดข่าวก็มีหลายคนโทรศัพท์มาหาเราบอกว่าทำไมเป็นอย่างนี้ และหลายคนก็ไม่พอใจกันหมด เราถึงบอกว่าอย่าให้เรารวมตัวกันทั่วประเทศเดี๋ยวจะเสีย สื่อก็อย่าไปจับพระสององค์มาชนกัน ไปแหย่ให้เกิดเรื่องมันจะยิ่งเหมือนเป็นการเอาน้ำมันไปรดบนกองไฟ เพราะเป็นเรื่องของศาสนา" พระอาจารย์วีระพันธ์กล่าว

          หัวหน้าสำนักงานกองทัพธรรมกองทัพไทยกล่าวตำหนิการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนว่า ความจริงสื่อควรจะมีจรรยาบรรณ ไม่ควรบ้าจี้ เอาคำพูดคนอื่นมาเป็นข่าวโดยไม่ได้ดูข้อเท็จจริง ทำอย่างนี้จะเสีย พระอาจารย์ก็มีกลุ่มนักข่าวที่มีจิตสำนึกอยู่ เขารู้ดีว่าเราทำงานเพื่อสังคมมาตลอด ทำงานอย่างถูกต้องอยู่ในสายตาพระผู้ใหญ่หมด ทางมหาเถรสมาคมทราบดีว่าเราทำงานอะไรบ้าง เป็นการทำงานที่ถูกต้องชัดเจนในนามขององค์กรสงฆ์ ส่วนพระท่านนั้นทราบว่าทำงานให้กับกลุ่มลอยๆ ที่เรียกว่าเสขิยธรรมแต่ไม่รู้จักกัน

          "ข่าวออกมาอย่างนี้ไม่ดีเลย ตอนนี้สังคมต้องการสร้างความสมานฉันท์ เราไม่ใช่พวกขวาจัด หรือพวกปั่นกระแส แต่เป็นประชาธิปไตย ธรรมาธิปไตยจะระมัดระวังมากในเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนา เพราะเป็นเรื่องอ่อนไหว ไม่อยากให้เรื่องไปกันใหญ่เพราะจะยิ่งทำให้สถานการณ์ภาคใต้ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก สโลแกนของเราคือสงวนจุดต่างแสวงจุดร่วม ผสมงาน ประสานใจ ร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่มีการแบ่งเขาแบ่งเรา โครงการที่ผ่านมาก็จะจับมือทำงานร่วมกันลักษณะกึ่งราชการ ทั้งมหาดไทย กลาโหม ศึกษาธิการ ดังนั้งจุดประสงค์คือต้องการให้รู้รักสามัคคี ตามยุทธศาสตร์พระราชทานที่มีลงมา และก็อยากให้เรื่องนี้จบเสียที" พระอาจารย์วีระพันธ์กล่าว

          วันเดียวกัน เครือข่ายศาสนิก ๓ ศาสนา ประกอบด้วย พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ ประธานกลุ่มเสขิยธรรม ดร.วไล ณ ป้อมเพชร เลขาธิการคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ นายสมเดช มัสแหละ เลขาธิการสภาองค์การมุสลิมแห่งประเทศไทย ได้ทำหนังสือถึงประธานศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม เพื่อขอยุติความร่วมมือในการทำงานในการช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้กับศูนย์คุณธรรม

          โดยหนังสือระบุเหตุผลว่า เมื่อพิจารณาร่วมกันแล้วเห็นว่าแนวทางและกิจกรรมของศูนย์คุณธรรม ไม่สอดคล้องกับแนวทางของเครือข่ายศาสนิก ๓ ศาสนา ที่มุ่งเน้นภาคประชาชนเป็นหลัก โดยใช้สันติวิธีและศาสนธรรมในการแก้ไขปัญหาใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้มาตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๗ รวมทั้งการลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้านและนักวิชาการ หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ สภ.อ.ตากใบขึ้น เครือข่ายฯ ได้ประชุมกันเพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยใน ๓ จังหวัดภาคใต้ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมที่เกิดขึ้น โดยจัดศาสนาพิธี ๓ ศาสนา และการเสวนา เพื่อแสวงหาหนทางดับไฟใต้เมื่อวันที่ ๖ พ.ย.ที่ผ่านมา ที่อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา ซึ่งทางศูนย์คุณธรรมขอร่วมกิจกรรมด้วย และได้เสนอว่าจะเป็นผู้สนับสนุนด้านพาหะและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการทำกิจกรรมพบปะเยี่ยมเยือนศาสนิกและผู้นำศาสนา ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องใน ๓ จังหวัดภาคใต้ พร้อมทั้งประกอบพิธีกรรมทางด้านศาสนาที่หน้า สภ.อ.ตากใบร่วมกัน

          เนื้อหาในหนังสือระบุว่า หลังจากที่ศูนย์คุณธรรม และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้จัดแถลงข่าว และมีการนำเสนอข้อมูลต่อสาธารณชนที่ผิดไปจากที่ประชุมร่วมกันไว้ โดยได้แสดงท่าทีว่ากิจกรรมดังกล่าว ศูนย์คุณธรรมเป็นผู้ริเริ่มและเป็นกิจกรรมของศูนย์ฯ แต่ฝ่ายเดียวโดยไม่คำนึงถึงเครือข่ายศาสนิก ๓ ศาสนา ที่ริเริ่มกิจกรรมมาก่อน และยอมให้ศูนย์คุณธรรมร่วมด้วย รวมทั้งการที่ศูนย์คุณธรรมได้ขอให้เพิ่มเติมตัวแทนภาครัฐที่ปรึกษาของศูนย์คุณธรรม และให้ตัดสื่อมวลชนไม่ให้ร่วมคณะไปด้วย ในขณะที่เครือข่ายฯ ต้องการให้ข้อมูลที่แท้จริงออกไปในวงกว้าง แต่ศูนย์ฯ กลับชี้แจงว่า พล.ต.จำลองอยากให้ทำเป็นการภายใน ทั้งที่เครือข่ายฯ ได้พยายามเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงออกให้ชัดเจนกรณีของตากใบ โดยให้รัฐบาลถอนทหารออกมาและยกเลิกกฎอัยการศึก และเราคิดว่าสิ่งที่รัฐบาลทำเป็นจิตวิทยามวลชนเป็นการแก้ปัญหาโดยการโฆษณาชวนเชื่อ จึงเห็นว่าไม่มีประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาแบบยั่งยืน

          "เครือข่ายศาสนิก ๓ ศาสนา ขอยืนยันว่าไม่ต้องการให้การทำงานถูกแทรกแซงหรือถูกครอบงำจากภาครัฐและรัฐบาล ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดในศาสนิกทั้งหลาย และอาจเกิดความไขว้เขวของประชาชนใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการปลุกกระแสชาตินิยม หรือเป็นส่วนในการสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคม"

          ขณะที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้สัมภาษณ์ที่ ร.ร.ผู้นำ จ.กาญจนบุรี ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม เป็นองค์การมหาชนที่ตั้งขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๔๗ ที่ผ่านมาองค์การนี้มีหน้าที่ในการประสานเครือข่ายทั้งประเทศ และการช่วยเหลือให้ประชาชนมีคุณธรรม มีการทำงานไปและประชุมไปเป็นระยะ โดยประชุมใหญ่มาทั้งหมดแล้ว ๕ ครั้งทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เมื่อวันที่ ๔ มิ.ย.ก็มีการประชุมที่กรุงเทพฯ

          พล.ต.จำลองกล่าวว่า มีผู้เสนอในที่ประชุมเพิ่มเติมขึ้นมาว่าไหนๆ ศูนย์คุณธรรมก็เป็นจุดเล็กๆ จุดหนึ่งซึ่งเป็นที่รวบรวมของศาสนิกชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้แทนองค์การทางศาสนาทุกศาสนามา ประชุมกันเป็นประจำ และมีความสนิทสนมกันดีมีความเข้าใจกันดี ก็น่าจะพาผู้แทนของศาสนาทุกศาสนาไปเยี่ยมผู้ประสบภัยภาคใต้ ในที่ประชุมก็ลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะต้องไปกำหนดไปวันที่ ๒๓ พ.ย. และกลับวันที่ ๒๖ พ.ย. ซึ่งก่อนหน้านี้มีการจัดอภิปรายวันที่ ๖ พ.ย.ที่อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา โดยพระกิตติศักดิ์พูดถึงเรื่องภาคใต้

          พล.ต.จำลองกล่าวว่า วันนั้นตนไปในตอนท้าย ผู้ร่วมอภิปรายก็เสนอเรื่องการดับไฟใต้โดยให้รวบรวมไปรษณียบัตรที่ประชาชนทั่วทุกภาค เขียนให้กำลังใจชาวใต้ ซึ่งศูนย์คุณธรรมก็รับมาดำเนินการ

          ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตเรื่องการปลุกกระแสแนวคิดขวาจัด พล.ต.จำลองกล่าวว่า ไม่ทราบและยังไม่ได้อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ ที่รับรู้บ้างเพราะรายการวิทยุโทรศัพท์มาสอบถามเรื่องที่พระกิตติศักดิ์พูดในลักษณะว่า มีพระอีกรูปหนึ่งช่วยเหลืออยู่ทางใต้ ซึ่งพระรูปนี้ก็เป็นผู้แทนองค์กรนำของศาสนาพุทธองค์กรหนึ่งที่เข้าร่วมประชุมกับศูนย์คุณธรรมเป็นประจำ

          "เมื่อพระกิตติศักดิ์ไม่เห็นด้วยก็เลยไม่ร่วมกับศูนย์คุณธรรมต่อไปแล้ว ที่จริงศูนย์คุณธรรมยังไม่ได้ไปทำงานร่วมกับใครเลย เพิ่งจะไปคราวนี้คือวันที่ ๒๓ พ.ย.นี้ แต่ว่ามีพระสงฆ์คณะหนึ่งท่านทำมานานแล้ว และพระกิตติศักดิ์ท่านก็รู้จักกันดี ตามข่าวที่ผู้สื่อข่าวถามผมนั้นพระกิตติศักดิ์เห็นว่าจะเป็นเครื่องมือของรัฐบาลก็เลยไม่ร่วมมือ แต่กลับเป็นว่าไม่ร่วมมือกับศูนย์คุณธรรม" พล.ต.จำลองกล่าว

          พล.ต.จำลองยังกล่าวถึงความสัมพันธ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ได้ขัดแย้งเพียงแต่ในตอนนั้นทางการเมืองคิดไม่ตรงกันเท่านั้นเอง นายกฯ ไม่ได้ต่อว่าอะไร ตนก็ไม่ได้ว่าอะไร ต่างคนต่างทำ.. .

หน้าแรก | กลุ่มเสขิยธรรม | ความเคลื่อนไหว |> ประเด็นร้อน | ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
นักบวชกับสังคมร่วมสมัย | จดหมายข่าวเสขิยธรรม | รวมเว็บน่าสนใจ | แผนผังไซต์
เสขิยธรรม https://skyd.org
สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน

กลุ่มเสขิยธรรม ๑๒๔ ซอยวัดนพคุณ ถนนสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพฯ ๑๐๖๐๐
โทร. ๐๒-๘๖๓๑๑๑๘, ๐๖-๗๕๗๕๑๕๖ โทรสาร ๐๒-๔๓๗๙๔๔๕
... e-mail :