เสขิยธรรม
ความเคลื่อนไหว
-
หน้าแรก | สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน | แผนผังไซต์
สายน้ำแห่งความทรงจำ…ลำน้ำโขง

สุชาดา วรรธะมานี

 

"แสงจันทร์กระจ่าง ส่องนำทางสัญจร
คิดถึงนางฟ้าอรชร ป่านนี้นางนอนหลับแล้วหรือยัง
แสงจันทร์นวลไย ข้าจ่อมจมอยู่ในภวังค์
เรไรเสียงไพรแว่วดัง ยิ่งฟังยิ่งเหงาจับใจ...คิดถึง
......................................................."

 

๑....

          เสียงเพลง "แสงจันทร์" จากเพื่อนร่วมเดินทางคนหนึ่ง ดังขับกล่อมบรรยากาศริมฝั่งโขงในคืนวันเพ็ญ ให้เป็นคืนงดงามในความทรงจำอีกคืนหนึ่งของการเดินทางในโครงการ "ธรรมยาตราเพื่อรักษาลำน้ำโขง เชียงของ - หลวงพระบาง - เวียงจันทน์ ครั้งที่ ๑" ซึ่งกลุ่มเสขิยธรรมร่วมกับกลุ่มรักษ์เชียงของ จัดขึ้นเพื่อให้พวกเราได้ร่วมสัมผัสและศึกษาสภาพลำน้ำโขง เกาะแก่ง หาดทราย สิ่งแวดล้อม ตลอดจนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมสองฝั่งโขง ได้ร่วมภาวนา แลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต การเดินทาง การปฏิบัติธรรม รวมทั้งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือได้ร่วมแสดงเจตนารมณ์ที่จะ "รักษ์" ลำน้ำโขงให้เป็นสายน้ำที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติในวิถีที่ควรจะเป็นต่อไปตราบชั่วลูกชั่วหลาน

          คืนนี้ (๑๓ มิ.ย.๔๖) เป็นคืนสุดท้ายที่พวกเรา ๓๙ ชีวิตจะได้ใช้ชีวิตริมฝั่งโขง ก่อนเช้าวันพรุ่ง จะออกเดินทางเข้าสู่นครเวียงจันทน์ อันเป็นจุดหมายปลายทางของการเดินทางในครั้งนี้ แสงจันทร์คืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ สาดแสงขาวนวลอาบหาดทรายกว้างให้สว่างกระจ่างโดยไม่ต้องอาศัยแสงประดิษฐ์ใด ๆ มาไล่ความมืดยามค่ำคืนให้เลือนหาย สายลมเย็นจากลำน้ำโขง ผสานเสียงสรรพสัตว์ที่ร้องระงมอยู่ไกล ๆ ช่วยปั้นแต่งบรรยากาศให้สุดแสนจะโรแมนติค พวกเราหลายคนในกลุ่มจึงตกลงร่วมกันว่าคืนนี้จะนอนอาบแสงจันทร์ พูดคุย ร้องเพลงกันโดยไม่กลับเข้าเต้นท์จนกว่าจะรุ่งเช้า

.........................................................

          ตี ๒ กว่าแล้ว หลายคนทยอยหลับใหลหลังจากร้องเพลงไปหลายเพลง พูดคุยกันไปหลายเรื่อง แต่ฉันยังไม่หลับด้วยเพราะบรรยากาศที่มีมนต์ขลัง งดงามจนไม่ยอมปล่อยให้เปลือกตาบนล่างปิดลงบรรจบกัน ตั้งใจว่าคืนนี้จะนอนมองจันทร์จนกว่าจะลับหายไปจากสายตา ได้เฝ้าดูและมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของพระจันทร์ดวงเดียว จากดวงกลมใหญ่เมื่อตอนหัวค่ำ มาลอยขึ้นกลางท้องฟ้าเมื่อครึ่งคืน แล้วมุดหายเข้ากลีบเมฆดำทมึนจนเกรงว่า สายฝนจะหล่นโปรยทำให้ความตั้งใจต้องล่มสลาย แต่พักใหญ่หมู่เมฆก็ค่อย ๆ เคลื่อนกระจายแย้มให้จันทร์เจ้าออกมาอวดโฉมอีกครั้ง ราวตี ๓ กว่า ๆ พระจันทร์แปลงร่างปล่อยแสงสีเหลืองทองกระจายออกจากตัวเป็นวงกลม คล้ายพระจันทร์ทรงกลดแต่งดงามกว่า ดูราวกับว่ามีรัศมีจันทร์ส่องออกมารอบตัว ระหว่างที่เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของจันทร์บนฟ้า ความคิดฉันก็ไหลเรื่อยนึกไปถึงสัจธรรมในชีวิตมนุษย์ซึ่งต้องเดินทางคล้ายกับพระจันทร์ที่เห็นนี้เอง บางวันชีวิตราบเรียบ บางขณะกลับต้องเผชิญมรสุมคล้ายกับเมฆหมอกที่เข้าบดบัง แต่สักวันหนึ่งความทุกข์นั้นก็ต้องผ่านไป เผยให้เห็นความสดใสอีกครั้ง ชีวิตก็เท่านี้เองหนอ ไม่ว่าจะเผชิญกับอะไร จิตใจก็ต้องมั่นคงเข้มแข็ง พอที่จะรับได้กับทุกสภาวะที่เข้ามากระทบ และพยายามค้นหาความงาม ค้นให้เจอความสุขของชีวิตให้จงได้

........................................................

          ตี ๔ ครึ่งกว่า ๆ พระจันทร์กำลังเคลื่อนต่ำลงอย่างช้า ๆ ฉันขอเพลงอีก ๒ เพลงจากเพื่อนคนเดิมที่ยังคงนั่งซึมซับความงามอยู่ด้วยกัน เพื่อเป็นเพลงสั่งลาดวงจันทร์ในคืนนี้ เสียงเพลงสุดท้ายจบลงพร้อม ๆ กับเงาจันทร์ที่ซุกตัวลงลับเหลี่ยมเขาเบื้องหน้า และเปลือกตาที่หนักเกินกว่าจะควบคุม จนต้องยอมมันให้ปิดลง เป็นฉากสุดท้ายที่แสนประทับใจ สำหรับค่ำคืนสั่งลาฝั่งโขงที่พวกเรารอนแรมร่วมกันมาเกือบ ๑ สัปดาห์

........................................................

 

๒....

          ย้อนกลับไปเมื่อ ๕ วันก่อนหน้านี้ นักเดินทาง ๓๙ ชีวิตทั้งพระและฆราวาสได้ก้าวลงเรือลำเดียวกัน แต่ละคนพกพาความคาดหวังต่าง ๆ กันไป จากการได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคณะธรรมยาตราเพื่อรักษาลำน้ำโขงคณะนี้ แต่สำหรับฉัน เพียงแค่ได้นั่งเรือล่องลำน้ำโขง สายน้ำยิ่งใหญ่ที่มีจุดกำเนิดจากเทือกเขาหิมาลัยอันเป็นที่รัก ได้ชื่นชมธรรมชาติสองฟากฝั่ง ได้ทอดตามองสายน้ำนิ่ง ตื่นเต้นกับสายน้ำเชี่ยวตามเกาะแก่งตลอดทางจนถึงหลวงพระบาง เมืองในดวงใจที่เฝ้ารอโอกาสเยี่ยมเยือนมานานปี อีกทั้งยังได้ล่องต่อไปจนถึงเวียงจันทน์ อันเป็นเส้นทางที่นักท่องเที่ยวทั่วไปไม่ใคร่จะมีโอกาสสัมผัสได้ง่าย ๆ เท่านี้ก็นับว่าบรรลุวัตถุประสงค์ในการเดินทางแล้ว ฉันไม่ได้คาดหวังจะได้อะไรมากไปกว่านี้ แต่ไม่คาดหวังมิได้หมายความว่าจะไม่เรียนรู้ ตรงกันข้าม การไม่คาดหวังนี้เองที่เอื้อให้ฉันเปิดหัวใจ เปิดมุมมองกับสิ่งที่ได้สัมผัสรายทางอย่างเต็มที่ และน้อมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไปประทับไว้ในรอยทรงจำที่แสนงดงาม

 

๓....

          แดดอ่อนแสงลงมากแล้วส่งผลให้บรรยากาศยามเย็นของวันต้นฤดูฝนดูเงียบสงบ ท้าวบุญมีผู้เป็นนายน้ำ (กัปตัน) ของเรือลำนี้เบนหัวเรือเข้าหาหาดทรายริมฝั่งโขงที่กว้างขวางพอสมควร เพื่อใช้เป็นสถานที่ให้พวกเราได้กางเต๊นท์สำหรับพักผ่อนเป็นคืนแรก (๘ มิ.ย.๔๖) หลังจากที่ได้ล่องเรือจากห้วยทราย แวะชมบ้านก้อนปื้มซึ่งเป็นหมู่บ้านไทลื้อที่มีชื่อเสียงด้านการทอผ้า และชมชาวบ้านร่อนทองริมฝั่งโขงมาตลอดทั้งวัน

          หลังจากสำรวจทำเลกางเต๊นท์จนพอใจ หลายคนผลัดเสื้อผ้าเดินลงโขงเพื่ออาบน้ำ ส่วนฉันยังลังเลสองจิตสองใจว่า จะลงอาบน้ำโขงซึ่งขุ่นข้นสีเหมือนชาเย็นได้หรือไม่ แต่เมื่อเห็นเพื่อน ๆ ว่ายน้ำเล่นกันราวกับกำลังว่ายน้ำในห้วยใสก็เลยตัดใจ ยังไงคงหนีไม่พ้นต้องลงโขงอยู่ดี เพราะยังต้องล่องกันอีกหลายวัน ในที่สุดก็ตัดสินใจเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค่อย ๆ หย่อนเท้าลงสัมผัสสายน้ำขุ่นข้น ทันทีที่เท้าแตะพื้นน้ำแล้วค่อย ๆ จมลง ความรู้สึกเย็น...แล่นจากปลายเท้ากระจายขึ้นไปทุกส่วนของร่างกาย เมื่อปล่อยตัวให้จมลงในสายน้ำฉ่ำเย็น ความสดชื่นก็เข้ามาแทนที่ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาตลอดวันได้ราวกับปลิดทิ้ง สดชื่น...จนลืมความขุ่นข้นที่ดูเหมือนเป็นปัญหาในตอนแรกไปได้หมดสิ้น นี่เป็นปฐมบทแห่งการเรียนรู้ที่ได้จากลำน้ำโขง สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นอยู่ก็ได้ หากเราไม่ได้ลงไปสัมผัสตัวตนที่แท้จริง กับน้ำโขงเมื่อแรกเห็นก็ยังไม่ไว้วางใจ ด้วยเพราะคำร่ำลือถึงความกราดเกรี้ยวของกระแสน้ำ ซึ่งพวกเราก็ได้เห็นเป็นระยะตลอดการเดินทางวันนี้ ประกอบกับความขุ่นแดงของสายน้ำที่คนเมืองอย่างฉันก็ตีค่าว่าไม่สะอาด ทำให้มองเห็นสายน้ำโขงเหมือนคนแปลกหน้าที่ไม่น่าไว้วางใจ แต่เมื่อได้สัมผัสกลับพบว่า แท้จริงแล้ว เพียงแค่ความฉ่ำเย็นของสายน้ำยามอาทิตย์อัสดง ก็นับว่าเพียงพอแล้วที่จะชำระกายให้สะอาด จากคนแปลกหน้าฉันจึงได้เริ่มทำความรู้จักกับสายน้ำโขงเพิ่มขึ้นอีกนิด

          ชำระกายแล้ว หลังอาหารเย็นหลวงพี่กิตติศักดิ์ก็นำพวกเราชำระใจ ด้วยการภาวนาริมฝั่งโขง ปลดปล่อยภาวะตึงเครียดที่แต่ละคนพกพามาจากชีวิตเมือง และค้นหาความสงบท่ามกลางเสียงเพลงบรรเลงจากธรรมชาติ ทั้งเสียงลม เสียงน้ำ หรือเสียงหรีดหริ่งเรไรโดยรอบ

          ค่ำแล้ว หลังจากนั่งภาวนา และเปิดประเด็นข้อมูลพื้นฐานของแม่น้ำโขงให้ทราบพอเป็นสังเขป พวกเราได้แยกย้ายกันเข้าพักผ่อนตามเต๊นท์ที่ได้จองพื้นที่กันไว้ สักพักสายฝนก็หล่นโปรยต้อนรับคืนแรกบนฝั่งโขงอย่างชุ่มฉ่ำ แม้อากาศจะร้อนอบอ้าว แต่ฉันก็นอนฟังเสียงเม็ดฝนหล่นกระทบผ้าใบเต้นท์อย่างเป็นสุขจนหลับไปโดยไม่รู้ตัว

 

๔....

          ท้องฟ้าสว่างทั่วผืนแล้วเมื่อฉันลืมตาตื่นขึ้นมาตอนตี ๕ ครึ่ง พอโผล่หน้าออกมาจากเต้นท์ก็สัมผัสกับอากาศเย็นสดชื่นของยามเช้าหลังฟ้าฉ่ำฝนเมื่อคืน พื้นทรายยังเปียกชุ่ม หลังคาเต๊นท์เม็ดฝนยังเกาะพราว ต้นไม้ใบหญ้ารอบ ๆ มีหยดน้ำวาววับเกาะอยู่เต็มไปหมด แหงนหน้ามองฟ้าก็พบว่าเมฆดำครึ้มยังคงคลี่กระจายอยู่ปกคลุมอยู่เป็นหย่อม ๆ ส่วนยอดไม้ตามแนวสันเขาไอหมอกขาวห่มคลุมดูนุ่มนวลตา สายน้ำโขงยามเช้าเรียบนิ่งจนเกิดเงาสะท้อนภาพเรือชัดเจนบนผิวน้ำ เป็นภาพสงบงามที่น่าประทับใจสำหรับการเริ่มวันใหม่อย่างมีพลัง

          ยามเช้าที่สงบเย็นเช่นนี้ เป็นบรรยากาศดี ๆ ที่เหมาะสำหรับการนั่งภาวนา หลวงพี่กิตติศักดิ์และพระรูปอื่น ๆ ได้นำพวกเรานั่งสมาธิในทุกเช้าและทุกค่ำตลอดการเดินทาง ซึ่งฉันคิดว่านี่เป็นวิถีแห่งการเริ่มต้นวันและสิ้นสุดวันที่ดีวิธีหนึ่ง มนุษย์เราควรมีเวลาสงบนิ่งเพื่อเฝ้ามองตัวเอง สำหรับฉันการได้นั่งวิปัสสนาติดตามดูลมหายใจ หรือตามดูสิ่งเร้าต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบใจ ได้เห็นการเกิดขึ้นและดับไปของอารมณ์ในขณะหนึ่ง ๆ นั้น มันทำให้ฉันตระหนักถึงความสำคัญของเวลาปัจจุบัน การมีสติกับการกระทำทุกขณะ รวมทั้งได้รับรู้และทำความเข้าใจได้ว่าชีวิตเป็นอนิจจัง ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย มีเกิดก็ต้องมีดับ สิ่งใดที่เกิดขึ้นมาและเป็นอดีตไปแล้วนั้นเราไม่สามารถไปแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอันใดได้ ส่วนอนาคตก็ยังเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจึงไม่ควรไปห่วงกังวลกับมันจนเกินเหตุ มีแต่ปัจจุบันเท่านั้นเราสามารถจัดการกับมันเพื่อให้ได้ผลที่ดีตามใจปรารถนา

          การเดินทางกับคณะธรรมยาตราฯครั้งนี้นอกจากการได้สวดมนต์นั่งสมาธิแล้ว พวกเรายังได้ร่วมทำบุญในรูปแบบอื่น ๆ อีก เช่น ได้ร่วมพิธีบวชพระของชาวเวียงจันทน์ที่ท่าเรือปากลาย ได้ใส่บาตรพระที่เดินต่อแถวกันยาวเกือบ ๒๐๐ รูปที่หลวงพระบาง และที่ฉันประทับใจอีกแห่งคือการได้ตักบาตรที่วัดบ้านหาดเต๊อะ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของบุญมีนายน้ำผู้น่ารักของเรา วันนั้นเป็นเช้าวันที่สองที่ได้นอนริมฝั่งโขง ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมาพวกเราได้รับเชิญเป็นกรณีพิเศษให้ไปเที่ยวที่บ้านหาดเต๊อะซึ่งกำลังมีงานทอดผ้าป่ากัน และตอนเช้าชาวบ้านได้นิมนต์พระภิกษุ ๔ รูปในคณะให้ไปฉันเช้าที่วัด พวกเราเลยถือโอกาสตามข้ามไปใส่บาตรด้วย เมื่อเดินขึ้นไปถึงลานวัดก็พบว่าชาวบ้านทั้งเด็ก ๆ หนุ่มสาว เฒ่าชรา ได้นั่งล้อมเป็นวงรอบลานวัดอย่างเป็นระเบียบและสงบรอเวลาที่จะใส่บาตร คนเฒ่าคนแก่บางคนยกกระติ๊บข้าวเหนียวขึ้นจบที่หน้าผาก สาว ๆ นั่งคุกเข่าเรียบร้อย ส่วนลูกเด็กเล็กแดงที่ตามพ่อแม่มาใส่บาตรบางคนเกาะกลุ่มกันเล่นกองทรายอยู่ข้าง ๆ บางคนยังเล็กนักก็เกาะหลังเกาะไหล่แม่คลอเคลียอยู่ใกล้ ๆ ฉันแอบมองสาวน้อยคนหนึ่งอายุน่าจะประมาณ ๓ ขวบ เธอยืนเกาะหลังแม่ในมือถือดอกจำปาดอกไม้ประจำชาติของลาวหมุนเล่นไปมา ฉันลอบมองเธอและพยายามหามุมเพื่อที่จะเก็บภาพประทับใจนี้ลงบนแผ่นฟิล์ม แต่จนแล้วจนรอดก็หามุมพอเหมาะพอดีไม่ได้ กว่าจะได้มุมที่ต้องการ ดอกจำปาในมือเธอก็กลีบร่วงจนเหลือไม่กี่กลีบแล้ว น่าเสียดายจริง ๆ

          เมื่อได้เวลาทั้งพระไทยพระลาวก็ลงบิณฑบาตด้วยกัน ชาวลาวจกเฉพาะข้าวเหนียวใส่บาตร ส่วนกับข้าวจะตามไปถวายบนศาลา แต่พวกเราซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมของมาใส่บาตร โดยเฉพาะก็พยายามหาอาหารหรือขนมที่พอจะมีอยู่มาร่วมใส่ด้วย ในบาตรพระวันนั้นจึงเต็มไปด้วยมาม่า อาหารกระป๋อง รวมทั้งขนมขบเคี้ยวหลายอย่าง เพื่อนบางคนต้องวิ่งตามเณรรูปสุดท้ายเพื่อที่จะใส่ขนมให้ในบาตร เรียกเสียงหัวเราะให้กับชาวบ้านได้พอสมควร

          หลังจากพระฉันเช้าเสร็จและกำลังเดินกลับไปลงเรือ ระหว่างทางหลวงพี่กิตติศักดิ์ได้แวะทักทายเด็ก ๆ หลายคนซึ่งกำลังเล่นกันอยู่ เพียงแค่เอ่ยทักเท่านั้นเด็กผู้หญิงทั้ง ๆ ที่กำลังเล่นก็ยอบตัวลงนั่งคุกเข่าคุยด้วยทันที เป็นการแสดงความเคารพนบนอบต่อพระสงฆ์ ในรูปแบบที่เราอาจไม่ค่อยได้เห็นอีกแล้วในสังคมไทย โดยเฉพาะในเมืองหลวงเช่นกรุงเทพฯ นี่เป็นอีกภาพประทับใจ ที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของพระสงฆ์และพุทธศาสนา ที่แทรกอยู่ในวิถีชีวิตของคนลาว และได้รับการถ่ายทอดจากชนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งอย่างไม่ขาดตอน เป็นภาพที่ฉันอยากให้เกิดขึ้นที่บ้านเมืองของเราอีกครั้ง ก่อนที่พุทธศาสนาจะเลือนหายไปจากสังคมไทยอย่างที่หลายคนกังวลกันอยู่

 

๕....

          ขณะนี้ฉันยืนอยู่บนก้อนหินบนเกาะใหญ่กลางลำน้ำโขง ทอดสายตามองสายน้ำเชี่ยวที่ไหลวนรอบแก่งหิน จากจุดนี้เราจะเห็นแม่น้ำโขงในมุมที่งดงามมากอีกมุมหนึ่ง สายน้ำคดเคี้ยวอ้อมเลียบเขา มองเห็นยอดภูเป็นฉากหลัง ก้อนหินใหญ่น้อยถูกจัดวางระยะห่างด้วยฝีมือปั้นแต่งของธรรมชาติ ก่อเกิดเป็นความลงตัวที่ยากจะเลียนแบบ เกาะนี้อยู่ห่างจากบ้านหาดเต๊อะที่พวกเราเพิ่งจากมาเพียงประมาณ ๑๐ นาที เป็นเกาะใหญ่ที่อาจจะกำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะถูกระเบิดทิ้ง หากโครงการระเบิดแก่งได้รับการสนับสนุนให้ลงมือได้ พวกเราจึงพยายามซึมซับภาพที่ได้เห็นนี้ไว้ให้มากที่สุด เพราะอาจจะไม่ได้พบเห็นอีกหากมีโอกาสกลับมาเยือนอีกครั้ง

          เรือธรรมยาตราฯ ของเรา ยังคงแล่นฝ่าสายน้ำเรียบ และสายน้ำเชี่ยว ตามเกาะแก่งน้อยใหญ่ในบางช่วง มุ่งหน้าสู่หลวงพระบาง และเรื่อยต่อไปจนถึงเวียงจันทน์ ระหว่างนี้นอกจากธรรมชาติงดงามหลากหลายที่เราได้พบเห็น ทั้งเกาะกลางแม่น้ำโขงที่ผ่านมา หรือจะเป็นสายน้ำ ๒ สีที่เกิดจากการสบกันของแม่น้ำโขงและแม่น้ำอูที่บริเวณบ้านปากอู ได้เล่นน้ำอูที่ใสจนเขียว ได้แวะชมและช้อปที่หมู่บ้านต่าง ๆ ระหว่างทาง ได้เห็นวิถีชีวิตริมฝั่งของชาวบ้านสองฝั่งโขง ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ตลอดการเดินทางคือมิตรภาพของสมาชิกในเรือ ที่พวกเราร่วมถักทอนับตั้งแต่ก้าวเท้าลงเรือลำเดียวกันจากวันแรกที่ออกเดินทางจากห้วยทราย นี่เป็นอีกหนึ่งความงดงามที่ต้องจารึกไว้ในความทรงจำ

.........................................................

          ถ่านร้อน ๆ ถูกนำมาวางบนแผ่นสังกะสีเพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์แผนโบราณประยุกต์ สำหรับช่วยลดความปั่นป่วนในท้องของเพื่อนร่วมทางคนหนึ่งที่ท้องอืดเนื่องจากอาหารไม่ย่อย ถ่านกับแผ่นสังกะสีดูไม่น่าจะเข้ากันได้กับอาการปวดท้อง แต่นี่คือภูมิปัญญาของเพื่อนที่เกิดจากความห่วงใยในความป่วยไข้ของเพื่อน เหตุเพราะไม่สามารถหากระเป๋าน้ำร้อนได้ในเรือ โดยมีหมอนวดอีก ๒ คนคอยช่วยนวดเท้าและกดท้องไล่ลมเพื่อจัดระเบียบในช่องท้องให้กลับเป็นปกติ เวลาผ่านไปพอสมควรหลังจากคนไข้ได้รับน้ำใจและกำลังใจจากเพื่อน ๆ อาการป่วยก็ทุเลาลง (เอ...ไม่แน่ใจว่าหายเพราะการปฐมพยาบาลหรือจากเสียงเตือนของหลวงพี่กิตติศักดิ์ที่ว่า "คนที่ป่วยอยู่ให้รีบหาย เพราะอีกไม่นานเราจะถึงท่าเรือปากลายซึ่งอาจมีอะไรให้ช้อปกันมากอยู่" กันแน่...ฮา)

          จากกิจกรรมหลายอย่างที่เกิดขึ้นในเรือไม่ว่าจะเป็นการช่วยกันทำอาหาร ล้างจาน ปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดเรือ การแอบดูแลกันจากเกมบัดดี้ที่น้อง ๆ สตาฟจัดให้เราได้เล่น การพูดคุยทำความรู้จักกันและกัน ซึ่งบางกลุ่มได้เปิดประเด็นล้วงลึกจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ การได้แลกเปลี่ยนทัศนะจากการทำงานที่ต่างสาขาอาชีพ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ช้อปกระจายรายได้ให้ชุมชนต่าง ๆ ที่ได้เยี่ยมชม รวมไปถึงการได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขช่วยเหลือกันยามป่วยไข้ ทำให้พวกเรา ๓๙ ชีวิตรู้จักกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น และรักกันมากขึ้นด้วย ถึงแม้ว่ามิตรภาพที่ก่อเกิดบนเรือลำน้อยนี้จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่นาน แต่ความผูกพันที่ร่วมกันถักทอนั้นงดงามมากพอที่บางคนสัญญากันว่า จะคบกันจนตายจากกันไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว

 

๖....

          เป็นเวลาหลายวันแล้วที่พวกเราได้ใช้ชีวิตเรียบง่ายริมลำน้ำโขง ได้ปลดเปลื้องตัวเองจากวัตถุอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่เคยชินในวิถีชีวิตคนเมือง ได้สัมผัสธรรมชาติที่สมบูรณ์สวยงาม สัมผัสสายน้ำยิ่งใหญ่ที่เปรียบเสมือนอู่ข้าวอู่น้ำของคนสองฟากฝั่ง ได้รับรู้ถึงความศรัทธาของผู้คนต่อแม่น้ำโขง ฉันได้คุยกับชาวบ้านลาวบางคนทราบว่าเขาใช้น้ำโขงสำหรับดื่มกิน ส่วนน้ำฝนที่รองไว้นั้นใช้สำหรับซักล้าง เท่านี้ก็ทำให้เห็นได้ถึงความสำคัญของน้ำโขงว่ามีอิทธิพลต่อชีวิตพวกเขามากเพียงใด น้ำโขงเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คนริมฝั่ง บุญมีเองเคยบอกฉันว่าช่วงไหนที่ไม่ได้ขับเรือหรือต้องจากน้ำโขงไปนาน ๆ ก็จะรู้สึกคิดถึง ฟังเท่านี้ก็สามารถเรียกรอยยิ้มให้เยือนใบหน้าฉันได้ไม่ยาก และในการเดินทางครั้งนี้ฉันยังได้พบกับคนกลุ่มหนึ่งที่รักแม่น้ำโขงยิ่งชีวิต เนื่องจากเติบโตมากับเธอ ได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่และความสำคัญของลำน้ำต่อชีวิตทั้งในด้านของนิเวศวิทยาและวัฒนธรรม จนปัจจุบันได้อุทิศตัวเองทำงานเพื่อรักษาลำน้ำสายนี้ ให้ยืนยงคู่กับมนุษยชาติต่อไป ในฐานะของแม่น้ำสายสำคัญ ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ติดอันดับต้น ๆ ของโลก คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า "กลุ่มรักษ์เชียงของ" นั่นเอง

          ครูตี๋ หรือคุณนิวัฒน์ ร้อยแก้ว และคุณสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา คือสองหนุ่มตัวแทนจากกลุ่มรักษ์เชียงของที่ได้ร่วมเดินทางกับคณะของเรา เพื่อเป็นวิทยากรที่จะช่วยให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับแม่น้ำโขงทั้งทางด้านกายภาพ ความสำคัญของลำน้ำโขงต่อมนุษยชาติ รวมไปถึงข้อมูลโครงการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง ที่อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบอันประเมินค่าความเสียหายมิได้ ต่อระบบนิเวศน์ และระบบชีวิตวัฒนธรรมสองฝั่ง สำหรับฉันข้อมูลที่ได้จากครูตี๋และครูสมเกียรติ อาจไม่ช่วยให้ฉันเข้าใจลึกซึ้งถึงผลกระทบ ที่อาจเกิดขึ้นจากการพัฒนา โดยยึดเอาเศรษฐกิจที่ประเมินเป็นตัวเงินได้เป็นตัวนำ แต่สิ่งสำคัญกว่าที่ฉันสัมผัสได้ตลอดเวลาจากบุคคลสองคนนี้ คือ ความมุ่งมั่น จริงใจ และความรักที่มีต่อแม่น้ำโขงที่สะท้อนออกมาทางแววตาและน้ำเสียงทุกครั้งที่มีการพูดคุยกันในประเด็นนี้ รวมถึงสิ่งที่ครูตี๋ย้ำตลอดเวลาถึงวิธีการรณรงค์เพื่อรักษาลำน้ำโขง ให้รอดพ้นจากการพัฒนาที่มิได้คำนึงถึงความเสียหายใหญ่หลวง ที่อาจเกิดขึ้นจากความพยายามเอาชนะธรรมชาตินั้น ต้องกระทำด้วยสันติวิธีเพื่อให้เกิดความงดงามไร้ความรุนแรง และการร่วมเดินทางล่องลำน้ำโขงในครั้งนี้ก็ถือเป็นวิธีหนึ่งในการรณรงค์ดังกล่าว อย่างน้อยการได้สัมผัสชีวิตเรียบง่ายริมน้ำโขง ก็อาจก่อให้เกิดความประทับใจในความสวยงามและยิ่งใหญ่ มากพอที่จะช่วยให้พวกเราอยากนำเรื่องราวดี ๆ ที่ได้รับรู้ ไปบอกเล่าต่อให้ญาติมิตรเพื่อนพ้องร่วมรับรู้ด้วย เป็นการเผยแพร่ข้อมูลจากประสบการณ์ตรง ที่อย่างน้อยก็อาจช่วยถ่วงดุลจากข้อมูลที่เผยแพร่โดยสื่อมวลชน ภายใต้การควบคุมของรัฐเพียงฝ่ายเดียว

 

๗....

          ชายหาดริมฝั่งโขงที่พวกเราจะพักกันเป็นคืนก่อนคืนสุดท้าย (๑๒ มิ.ย.๔๖) นี้ เป็นหาดทรายกว้าง..ง..ง..มากและสวยงามมากที่สุดเท่าที่เราได้พักมา นอกจากความกว้างใหญ่อลังการของหาดทรายที่คละเคล้ากันด้วยทราย กรวด และหินหลากขนาด รวมถึงฉากหลังที่เป็นแนวเขาหลายลูกแล้ว ริมชายฝั่งยังประดับประดาด้วยประติมากรรมหินตั้งหลายรูปแบบ จากฝีมือปั้นแต่งของธรรมชาติซึ่งฉันคิดว่ามนุษย์หน้าไหนก็มิอาจสร้างขึ้นมาเทียบเคียงได้ หาดแห่งนี้มีชื่อเรียกว่า "ดอนเครื่อง" ตั้งอยู่ในเขตบ้านปากตุง แขวงไชยบุรี ซึ่งที่มาของชื่อดอนเครื่องนี้มีตำนานเล่าว่า แต่เดิมการสรรหาเจ้าเมืองของเมืองนี้ จะคัดเลือกจากผู้กล้าที่สามารถกระโดดลงจากผาเลียบ ซึ่งมีความชันและสูงมากลงสู่แม่น้ำโขง หากผู้นั้นมีชีวิตรอดก็จะได้รับเลือกเป็นเจ้าเมือง โดยหลังจากขึ้นจากน้ำโขงก็จะมาเปลี่ยนเครื่องทรงเจ้าเมืองที่ดอนเครื่องนี้เอง นอกจากนี้ดอนเครื่องยังเป็นจุดแวะพักสำหรับเปลี่ยนเครื่องทรง ของเจ้ามหาชีวิต ที่เดินทางจากหลวงพระบางไปยังเวียงจันทน์อีกด้วย จากทำเลที่ตั้งประกอบกับตำนานความเป็นมาดังกล่าวนี้เอง ที่ช่วยส่งให้ดอนเครื่องมีความงดงามทั้งด้านกายภาพและจิตวิญญาณ

          วันนี้เป็นวันที่พระจันทร์เกือบจะเต็มดวงแล้ว เธอเลยโผล่มาทักทายตั้งแต่แสงอาทิตย์ยังไม่ลาขอบฟ้า ฉันหาทำเลอาบน้ำที่ดีที่สุดได้โดยนั่งบนหินใต้น้ำให้ก้นแช่น้ำส่วนตาจับอยู่ที่ดวงจันทร์ที่ค่อย ๆ ลอยสูงขึ้นระหว่างช่องเขา ๒ ลูกด้านหลัง นับเป็นห้องอาบน้ำที่มีบรรยากาศดีที่สุดในโลกเท่าที่ชีวิตฉันเคยสัมผัสมาเลยทีเดียว ฉันใช้เวลาอาบน้ำชมจันทร์นานมากจนทำให้มีเวลาสำหรับหาอาหารใส่ท้องน้อยเกินไป ข้าวยังไม่ทันหมดจานก็ต้องปล่อยวางเพื่อไปร่วมกิจกรรมสำคัญของคืนนี้ นั่นคือ พิธีสืบชะตาแม่น้ำโขง

          พระภิกษุและเพื่อน ๆ มากันพร้อมแล้วโดยนั่งล้อมเป็นวงกลม ตรงหน้าของทุกคนมีเทียนไขจุดวางบนแผ่นหินแบน ๆ แสงเทียนที่ส่องล้อมเป็นวงแข่งกับแสงจันทร์ที่สาดส่องอยู่บนฟ้า ทำให้บรรยากาศยามนี้ดูมีมนต์ขลังอย่างน่าอัศจรรย์ตั้งแต่ยังไม่เริ่มพิธี ฉันตะลึงกับภาพที่เห็นขณะเดียวกันก็เกิดความตั้งใจขึ้นทันทีว่า นับจากวินาทีที่จะเริ่มประกอบพิธีสืบชะตาแม่น้ำโขงนี้ ฉันจะพยายามตั้งสมาธิให้มั่นเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่งเดียว และหวังว่าความตั้งใจของพวกเราจะก่อให้เกิดเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ ส่งไปถึงผู้มีอำนาจตัดสินใจให้มีดวงตาเห็นธรรม คำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นทั้งต่อระบบนิเวศน์ วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของผู้คนริมฝั่ง และทบทวนโครงการที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะของลำน้ำโขง เพื่อตอบสนองลัทธิบริโภคนิยมนี้เสียใหม่

          หลวงพี่กิตติศักดิ์ให้พวกเรานั่งสมาธิเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่งก่อนที่จะเริ่มพิธี จากนั้นก็นำสายสิญจน์ซึ่งโยงลงสู่แม่น้ำโขงมาให้จับกันไว้ทุกคน แล้วเริ่มพิธีสวดสืบชะตาให้แด่แม่น้ำโขง พระสงฆ์สวดมนต์อยู่นานมาก นานจนฉันทึ่งในความสามารถของท่านที่จำบทสวดที่ยาวขนาดนั้นได้ เมื่อจบบทสวดพวกเรานำเทียนไปหยดลงแม่น้ำพร้อมกับตั้งจิตอธิษฐานให้ลำน้ำที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติสายนี้ ได้อยู่ยั้งยืนยงดำรงประโยชน์มหาศาลแก่ชีวิตและโลกต่อไปตราบชั่วลูกชั่วหลาน ให้เธอรอดพ้นจากเงื้อมมือของมนุษย์ผู้โลภโมโทสันผู้คิดจะเอาชนะธรรมชาติในครั้งนี้และตลอดไป ส่วนสายสิญจน์นั้น หลวงพี่นำมาตัดเป็นเส้น เพื่อให้พวกเรานำไปผูกข้อมือบุคคลผู้ที่เราปรารถนาจะผูกสัมพันธ์กันต่อไป เป็นอันจบพิธีสืบชะตาแม่น้ำโขงและสืบความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมทางกันอย่างงดงาม

........................................................

          พิธีกรรมจบลงไปแล้ว แต่การต่อสู้เพื่อรักษาลำน้ำโขงยังไม่สิ้นสุด การเดินทางเพื่อร่วมศึกษาลำน้ำโขงของพวกเราในครั้งนี้เป็นเพียงเศษเลี้ยวเล็ก ๆ ของการรณรงค์เพื่อให้สายน้ำยิ่งใหญ่ได้ดำรงความยิ่งใหญ่ต่อไป แม้สิ่งเล็ก ๆ ที่ร่วมทำกันนี้จะไม่สามารถส่งผลสะเทือนให้เห็นเป็นรูปธรรมในเร็ววัน แต่ฉันก็เชื่อว่าการได้ลงมือทำอะไรบ้างแม้จะเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่หากเราสามารถรวมสิ่งเล็ก ๆ เข้าด้วยกัน มันก็อาจกลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะผลักดันสิ่งดีงามให้เกิดขึ้นได้ เพราะฉันเชื่อมั่นในพลังของธรรมชาติและพลังของมนุษย์ผู้มีจิตใจใฝ่ธรรมว่าสามารถเอาชนะทุกสิ่ง เพียงแค่เรามีความหวังและลงมือทำอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เฝ้ารอคอยย่อมต้องส่งผลเข้าสักวัน.. .

หน้าแรก | กลุ่มเสขิยธรรม |> ความเคลื่อนไหว | ประเด็นร้อน | ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
นักบวชกับสังคมร่วมสมัย | จดหมายข่าวเสขิยธรรม | รวมเว็บน่าสนใจ | แผนผังไซต์
เสขิยธรรม https://skyd.org
สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน

กลุ่มเสขิยธรรม ๑๒๔ ซอยวัดนพคุณ ถนนสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพฯ ๑๐๖๐๐
โทร. ๐๒-๘๖๓๑๑๑๘, ๐๖-๗๕๗๕๑๕๖ โทรสาร ๐๒-๔๓๗๙๔๔๕
... e-mail :